วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สมาธิ กับ คลื่นสมอง

 
   
     สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน.....คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า....การกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากความคิด..และการสั่งการของสมองทั้งสิ้น  สมองของเราเป็นส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การกิน การเดิน การนั่ง การมองเห็น การรับรู้ ซึ่งจะมีกลไก การทำงานที่่่่ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสมองมนุษย์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ไม่มีอะไรจะมาเสมอเหมือนได้

    นักวิทยาศาสตร์ หลายคน จึงได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่องการทำงานของสมอง พบว่า สมองของคนเรานั้น จะปล่อยคลื่่นพลังงานออกมา อยู่ 4 ชนิด ด้วยกัน ซึ่งแต่ละคลื่นจะส่งผลให้สมองทำงานในลักษณะที่ต่างกัน ดังนี้ครับ

  1. คลื่น เบต้า (Beta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 13 ถึง 25 รอบต่อวินาที
คลื่นเบต้าจะเกิดขึ้น ในขณะที่ สมองกำลังอยู่ในภาวะการทำงานและควบคุมจิตใต้สำนึก เช่น กำลังทำงาน,การพูดและทำกิจกรรมต่างๆ การใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป เป็นต้น

2. คลื่น อัลฟา (Alpha) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 8 ถึง 12 รอบต่อวินาที
คลื่นอัลฟาจะเกิดขึ้น ในขณะที่ สมองอยู่ในช่วงพักผ่อนหรือกำลังทำสมาธิ ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์หรือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว สมองจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากหากเกิดของคลื่นนี้ขึั้น

3. คลื่นธีต้า (Theta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 4 ถึง 11 รอบต่อวินาที
คลื่นเธต้าจะเกิดขั้น ในขณะที่ สมองอยู่ในช่วงของการเข้าสมาธิแบบลึก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการเห็นภาพต่างๆ เช่น การเข้าฌาน ของผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นสูง

4. คลื่น เดลต้า (Delta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 ถึง 3 รอบต่อวินาที
จะเกิดขึ้น ตอนที่สมองหลับอย่างเต็มที่ โดยไม่มีความฝันใดๆ หรือเป็นช่วงที่พักผ่อนอย่างเต็มที่
การหลับสนิท

จากการศึกษา พบว่า คลื่นสมองที่มีประโยชน์ที่สุด ก็คือ คลื่นสมองในแบบที่ 2 คือ คลื่น อัลฟา (Alpha ) คลื่นนี้จะส่งผลต่อการ เรียนรู้  และความคิดที่แปลกใหม่ ถ้าใครที่สามารถสร้างคลื่นสมองชนิดนี้ได้มากๆ ก็จะพัฒนาตัวเองไปได้เร็ว คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมีคลื่นสมองชนิดนี้ ซึ่งเราเองก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ด้วยการฝึก "สมาธิ"

   สมาธิ คืออะไร? ในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต แต่สมาธิในความหมายของการฝึกปฏิบัติ คือการทำใจให้นิ่ง ซึ่งต่างจากร่างกายที่ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งแข็งแรง แต่จิตใจนั้นตรงกันข้าม คือจิตใจหวั่นไหวย่อมอ่อนแอ แต่หากหยุดนิ่งเฉยได้แล้วจะยิ่งมีพลัง เหมือนการรวมโฟกัสของแสงให้เป็นจุดเดียวกัน ย่อมมีพลังที่จะจุดไฟให้ติดได้

ในพระอภิธรรมปิฎก สมาธิ จะหมายถึง ความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดี่ยว อย่างแน่วแน่ การปฏิบัติ สมาธิ ตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น เรียกว่า "สัมมาสมาธิ" คือ การทำจิตใจให้สงบ ละจากความยั่วยุทั้งปวง คือ กามคุณทั้ง 5  รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ตั้งมั่นอยู่กับจิตร เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีด้วยกันอยู่ 3 ระดับ
  • 1.ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ

  • 2.อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ

  • 3.อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
แต่ละระดับ ก็จะมีการฝึกฝนที่แตกต่างกันไป  องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแบ่งนิสัยคน อยู่ 6 กลุ่มด้วยกันเรียกว่า จริต 6 ประการ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละคน ท่านได้ทรงกำหนดวิธีการฝึก เรียกว่า            สมถกรรมฐาน จะมีด้วยกันอยู่ 40 วิธี ไว้ให้สำหรับคนแต่ละกลุ่ม รายละเอียดไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ สมถกรรมฐาน

 กลุ่ม จริต 6 ประการ จะมีดังนี้

จริต (อ่านว่า จะหริด) จริต แปลว่า จิตท่องเที่ยว สถานที่จิตชอบท่องเที่ยว หรืออารมณ์ที่ชอบท่องเที่ยวของจิตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มี 6 ประการ หมายถึง ความประพฤติ คือกิริยาอาการที่แสดงออกมาให้เห็น มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า จริย จริยา หรือ จรรยา โดยทั่วไปจะใช้หมายถึงกิริยาอาการที่ไม่ดี เช่น เสียจริต วิกลจริต ดัดจริต จริตจะก้าน แต่ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ความประพฤติ, พื้นเพ นิสัยใจคอ มี 6 อย่างคือ

  1. ราคจริต หนักไปทางรักสวยรักงามคือ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะ มักชอบพัฒนาศิลปะให้แก่สังคม
  2. โทสจริต หนักไปทางเจ้าอารมณ์มักโกรธ เป็นคนขี้โมโหโทโส พูดเสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว ชอบจับผิด จึงมองข้อตลกของคนได้ดี จึงมักเป็นคนที่พูดจาได้ตลกและสนุกสนาน เนื่องจากเป็นคนตรงไปตรงมา ปกป้องสังคมจากการเสื่อมได้ดี
  3. โมหจริต หนักไปทางลุ่มหลง ในทรัพย์สมบัติ นิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น ลุ่มหลงในลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ มักงมงายในบทบาทที่สังคมสมมุติให้ บ้าอำนาจ ถือความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ ยึดความเป็นสถาบันสูง
  4. สัทธาจริต หนักไปทางเชื่อถือจริงใจ น้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุผล พวกนี้ถูกหลอกได้ง่าย ใครแนะนำก็เชื่อโดยไม่พิจารณา ชอบเพื่อน ชอบร่วมกลุ่ม พวกมากลากไป แคร์สังคม กลัวคนนินทา ชอบช่วยเหลือผู้อ่อนแอ
  5. พุทธิจริต หนักไปทางใช้ปัญญา เจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ การคิดการอ่าน ความทรงจำดี ถือหลักการ อนุรักษนิยม ชอบสั่งสอนคนอื่น
  6. วิตกจริต หนักไปทางชอบคิดมาก ถ้าขี้ขลาดจะวิตก กังวล ฟู้งซ่านชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่กล้าตัดสินใจ คิดอย่างไม่มีเหตุผล เกินจริง ชอบแหกกฎเกณฑ์ ข้อดีคิดนอกกรอบ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆต่อสังคม

กรรมฐาน ที่เหมาะกับคนในแต่ละกลุ่มดังนี้

  1. ราคจริต เหมาะกับ อสุภะ 10 นวสี 9 กายคตานุสสติ
  2. โทสจริต เหมาะกับ วรรณกสิน 4 พรหมวิหาร 4
  3. โมหจริต เหมาะกับ อานาปานสติ
  4. วิตกจริต เหมาะกับ อานาปานสติ กสินทั้ง 6 คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน เตโชกสิน วาโยกสิน อาโลกกสิน อากาสกสิน
  5. สัทธาจริต เหมาะกับ อนุสสติ 6 คือพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ ศีลานุสสติ เทวตานุสสติ
  6. พุทธิจริต พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาธาตุ 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ

หลักกรรมฐาน ที่สามารถ ใช้ได้กับทุกคน คือ หลัก "อาณาปานสติ" หรือการกำหนดลมหายใจ จะมีแบบการหายใจทั้งหมดอยู่ 16 คู่ ด้วยกัน ศึกษาเพิ่มเติ่ม กด อาณาปานสติ



แต่สิ่งที่ผมจะมาแนะนำกันในบทความนี้ เป็นหลักการหายใจที่นอกเหนือ จาก 16 ข้อที่กล่าวมา ซึ่งผมคิดขึ้นเองและได้ทดลองปฏิบัติ ได้ผลค่อนข้างดี โดยประยุกต์มาจาก หลักการของ อ.บัณฑิต อึ้งรังษี  ถ้าใครจะนำไปลองใช้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ได้ผลอย่างไร ช่วย แนะนำกันมาด้วยละกัน
วิธีการนี้จะเหมาะกับ คนที่ต้องการสมาธิแบบเร่งด่วน รวดเร็ว ทำได้ง่ายๆ 

" วิธีการ หายใจ แบบ 4 4 4 " (ให้นับในใจ หลับตาจะได้ผลดี)

1.หายใจเข้า นับ   1, 2, 3, 4
2.กลั้นหายใจ นับ  1, 2, 3, 4
3.หายใจออกนับ  5, 6, 7, 8

ทำวนไปเรื่อยๆจนคิดว่าเรามีสมาธิแล้ว ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ก็หยุดได้ มันเป็นการเรียกสมาธิแบบง่ายๆ แล้วได้ผลเร็ว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสมาธิแบบเร่งด่วน 

***จิตที่เป็นสมาธิ จะทำอะไรก็ย่อมจะบรรลุเป้าหมายได้ง่าย หากเราหมั่นฝึกฝนและจัดระเบียบความคิด บ่อยๆ ชีวิตและการทำงานของเรา ก็จะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ ได้ สมองเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ พระเจ้าได้มอบมันมาให้เราทุกคน อยู่ที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากแค่ไหน เท่านั้นเอง***
#-ขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org
#-ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13  





วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การติดดาวให้เพื่อนใน Facebook

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แก่นพระพุทธศาสนา

        สวัสดีครับ ท่านผู้อ่าน หากใครได้ติดตามข่าวสารในบ้านเรา ช่วงนี้่สิ่งที่เป็นประเด็น มากที่สุดในสังคมไทย คงหนี้ไม่พ้น เรื่องของ  ทางด้าน ศาสนา ที่เกี่ยวกับ  วัดแห่งหนึ่ง  ที่จริงจะว่าเกี่่ยวข้องกับศาสนา ด้วยตรง ก็คงจะไม่เชิงนัก เพราะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวบุคคล มากกว่า บังเอิญว่าบุคคลนั้น เป็นที่เคารพนับถือของ คนในพระพุทธศาสนา เรื่องราวรายละเอียดเป็นยังไง ก็ให้ทุกท่านไปติดตามกันเอาเอง นะครับ ผมจะไม่ขอกล่าวถึง เพราะมันเป็นเรื่องที่ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยง อยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมต้องการจะนำเสนอในบทความนี้ จะเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ และ แก่นของศาสนา ที่แท้จริง ที่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงอยากให้เป็น และดำเนินไป

     
       ย้อนกลับไปก่อนพุทธกาล มีเจ้าชายหนุ่ม องค์หนึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นมายังโลกมนุษย์ เมื่อยามเยาว์วัย ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในวัง พอโตขึ้นได้ออกไปเห็นและเผชิญ กับความจริงในโลกกว้าง ได้เห็นและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย จนได้เจอกับ วัฎสงสารทั้ง 4 อันได้แก่ การเกิด  การแก่  การเจ็บ และ การตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ พระองค์ ไม่เคยได้เห็นตอนที่อยู่ในวัง หลังจากได้สัมผัสโลกภายนอก ก็เกิดความสงสัยและคุ้นคิด อยู่ตลอดเวลา จนทำให้จิตใจเป็นทุกข์ ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุขใดเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานที่แสนสะดวกสบาย รายล้อมด้วยบริวารรับใช้ จึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อไปแสวงหาคำตอบ ว่าทำไม มนุษย์จึงต้องมีความสูญเสีย ต้องมีแต่ความทุกข์ ช่วงที่ค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ใช้แนวทาง ต่างๆนาๆ ทั้งการทรมานร่างกาย ทรมานจิตใจ แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช้ คำตอบที่พระองค์แสวงหา จึงเปลี่ยนแนวทาง มาทำอะไรที่พอประมาณ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา  หรือ ทางสายกลาง   คือ ความไม่สุดโต่ง และ ไม่หย่อน จนเกินไป ทันใดนั้น ก็พลันสว่างโพร่งขึ้นในความคิด และหาคำตอบให้กับพระองค์เองได้ในที่สุด



**แนวทางที่พระพุทธองค์ ทรงค้นพบนั้น ก็คือ แก่นแท้ของศาสนาพระพุทธศาสนา ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดนั้น  ก็คือ "การปล่อยวางจากทุกสิ่ง ไม่ยึดติด กับสิ่งใดเลย"  นั้นเอง 



แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็นผู้ตื่นแล้ว จึงรู้และเข้าใจ ว่ามนุษย์ทั่วไป คงจะเดินตามแนวทางที่ท่านค้นพบได้ยาก เพราะมนุษย์นั้นมี กิเลส มากเหลือเกิน จึงได้บัญญัติ คำสอน ที่จะทำให้โลกมนุษย์ ไม่สับสนวุ่นวายจนเกินไป ให้ทุกอย่างพอเหมาะพอควร เอาไว้มากมาย อันนี้ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมกันเอาเองนะครับว่ามีอะไรบ้าง

หลักธรรมที่ท่าน ได้สอนนั้น แบ่งได้อยู่ 2 กลุ่มใหญ่  อันนี้ผมสรุปเองนะครับ

กลุ่มที่ 1: คือ หลักธรรมที่สอนให้กับ คนธรรมดา เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้เกิดความสุข หรือ ให้มีความทุกข์ น้อยที่สุด

กลุ่มที่ 2: คือ หลักธรรมที่สอนให้กับ กลุ่มคนที่ต้องการจะหลุดพ้น จาก กิเลสทั้งปวง เพื่อนำไปสู่ความว่างเปล่า หรือ นิพพาน ผู้ที่มีความตั้งใจจริง (กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ผมจะเน้นในบทความนี้)


*********************************************************************************
จากข่าวที่ปรากฎ ข้างต้น ทำให้ภาพลักษณ์ของ ศาสนาพุทธมีความด่างพร้อย อยู่ไม่น้อย เพราะกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า นักบวช เป็นกลุ่มคนที่อาสาเข้ามา นำพระธรรมคำสอน ที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ ไปเผยแผ่ และชี้ทางสว่างให้กับ คนทั่วไป เพื่อละจาก กิเลส นั้น กลับเป็นผู้ที่ ยึดติดกับ กิเลสเสียเอง ปากก็อ้างว่าทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา แต่การกระทำหาได้ปกป้องศาสนาไม่ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีกลุ่มคน ที่อ้างตัวเองว่านักบวช เหล่านี้ ออกมาเคลื่อนไหวในทางโลก ซึ่งถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดเลย กับการเผยแผ่ พระธรรมคำสอน สิ่งที่คนกลุ่มนี้ พึ่งกระทำนั้น ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี น่าเลื่อมใสศรัทธา ให้กับผู้ที่ต้องการปฏิบัตตามแนวทาง พระพุทธศาสนา มากกว่า คือ การยึดหลักพระธรรมวินัย ซึ่งแบ่งได้ 2 ลักษณะ  คือ

1.) พุทธบัญญัติ  หรือ ข้อห้ามทั้งปวง ที่ห้ามมิให้กระทำโดยเด็ดขาด

2.) อภิสมาจาร  หรือ ข้อควรปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ความน่าเชื่อถือ การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการสำรวมทางร่างกาย

เมื่อทั้ง 2 ลักษณะมารวมกัน ก็คือ  ศีลทั้ง 227 ข้อ ที่พระสงฆ์ นักบวช ต้องกระทำ ถามว่า กลุ่มคนที่ถือว่าตัวเองเป็น นักบวช เหล่านี้ ได้ปฏิบัติกันครบ รึยัง ก่อนที่จะออกมาบอกว่า "ปกป้องพระพุทธศาสนา"
ควรทำตัวเองให้ได้เสียก่อน เหมือนคำกล่าว ที่ว่า  "แบบอย่างที่ดี....มีค่ามากกว่าคำสอน" อย่าใช้  ศาสนามาเป็นข้ออ้าง เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเอง เลย แนวทางที่พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้นั้นถูกต้องแล้ว อย่าบิดเบือน ให้ ศาสนาต้องมัวหมอง เพราะความลุ่มหลง และ พลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเลย 

ประเทศไทย ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองของพระพุทธศาสนา แต่ที่สิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน นั้น ยังห่างไกล จากคำว่า พุทธ (ผู้ตื่น)  อยู่มาก ดังนั้น พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ และ เป็นไปตามแนวทาง ที่ถูกต้อง ตาม แก่นแท้ของ พุทธศาสนา เพื่อแผ่นดินผืนนี้จะได้สูงขึ้นกว่าที่เป็น 

#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13    


  

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Valentine day

     


      วันแห่งความรัก...14 ก.พ. ของทุกปี คือวันแห่งความรัก วันที่ใครๆหลายคน...มีความสุขกัน วันนี้จะมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง...ที่บรรดาแม่ค้า..พ่อค้า ดูจะมีความสุขกันเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นราคาของดอกไม้..โดยเฉพาะดอกกุหลาบ...ที่อัพราคาขึ้นสูงปรี๊ด จากดอกละ 20-30 บาท กระโดดไปที่ดอกละ 1,000 - 2,000 บาท ถ้าไม่ใช่วันนี้คงไม่มีใครกล้าซื้อกัน รวมถึงของขวัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การ์ด ช็อกโกแลต หรือ พวกตุ๊กตาน่ารักๆ ก็คงจะขายดีไม่แพ้กัน......เหล่าแม่ค้า คงจะยิ้มแก้มปริกันไปแบบมีความสุข ไม่แพ้เหล่าคู่รักกันเลยที่เดียว...
   
     ที่จริงแล้วประเทศไทย..ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับวันนี้สักเท่าไหร่....ตามวัฒนธรรมประเพณีเดิมของเรานั้นไม่มีประเพณีแบบนี้...แต่เนื่องจาก....วิวัฒนาการของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว..ทำให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างชนชาติมากขึ้น โลกใบนี้จึงดูแคบลง...วัฒนธรรมต่างชาติ จึงได้เผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย...และวัฒนธรรมเดียวกันนี้ ก็เผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว....จากประเพณี..เฉพาะชนชาติ ก็กลายเป็นประเพณี..โลก ไปโดยปริยาย

     ถ้าพูดถึงวัน Valentine  คงจะมีคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ กลุ่มวัยรุ่น ที่มักจะเข้าใจผิดๆ ว่าวันนี้เป็นวันของการสมสู่ การมีเพศสัมพันธ์ การเริ่มมีรัก ที่ดูจะผิดแนวทาง....อาจเป็นเพราะได้รับการซึมซับวัฒนธรรมชาวต่างชาติ...ที่มีการสัมผัสต้องตัวกันเป็นปกติ......ซึ่งในความคิดของเขานั้น ไม่ได้ยึดถือ     รูปลักษณ์ร่างกายภายนอก อยู่แล้ว....ซึ่งต่างจากประเพณีของไทย  โดยสิ้นเชิง  เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกัน วาเลนไทน์ มากขึ้น ผมจึงจะขออาสามาไข ความกระจาง ให้ผู้อ่านได้ทราบกัน  เพื่อไม่ให้เป็นการผิดเพี้ยน จากเนื้อหาเดิม ผมจึงขอยกเอาบทความจากเวปไซต์ ให้ข้อมูลเชื่อดังอย่าง  WiKiPedia.com  มาบอกเล่าให้ทราบกัน ซึ่งถ้าใครต้องการศึกษาเพิ่มเติ่มก็สามารถ คลิ๊กได้ตามลิงค์เลยนะครับ ประวัติ Valentine Day


วันนักบุญวาเลนไทน์ 

(อังกฤษSaint Valentine's Day) หรือที่มักเรียกว่า วันวาเลนไทน์ (อังกฤษValentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม


"วันนักบุญวาเลนไทน์" แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกที่ชื่อ วาเลนตินัส (แต่นักบุญชื่อนี้มีหลายองค์) ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่นั้นกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น วันวาเลนไทน์ถูกำหนดขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนจะถูกลบออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไปของโรมัน (General Roman Calendar of saints) ในปี ค.ศ. 1969 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6

วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ช่วงกลางสมัยกลาง (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนามาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน
   

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

มรณสักขีในศาสนาคริสต์ยุคแรกหลายคนมีชื่อว่า วาเลนไทน์ ซึ่งวาเลนไทน์ที่มีการฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คือ วาเลนไทน์แห่งโรม (Valentinus presb. m. Romae) และวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae) วาเลนไทน์แห่งโรมเป็นนักบวชในโรมผู้พลีชีพเพื่อศาสนาราว ค.ศ. 269 และฝังที่เวียฟลามีเนีย (Via Flaminia) กะโหลกที่สวมมาลัยดอกไม้ของนักบุญวาเลนไทน์จัดแสดงในมหาวิหารซานตามาเรียในคอสเมดิน โรม เรลิกอื่นพบได้ในมหาวิหารซานตาพราสเซเด (Santa Prassede)[4] ในโรมเช่นกัน เช่นเดียวกับที่โบสถ์คาร์เมไลท์ถนนไวท์ไฟร์อาร์ (Whitefriar Street Carmelite Church) ในดับลิน ไอร์แลนด์

วาเลนไทน์แห่งเทอร์นีกลายมาเป็นบิชอปแห่งอินเตรัมนา (Interamna, ปัจจุบัน คือ เทอร์นี) ราว ค.ศ. 197 และกล่าวกันว่าเขาได้พลีชีพในช่วงการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนในรัชสมัยจักรพรรดิออเรเลียน ศพเขาฝังที่เวียฟลามีเดียเช่นกัน แต่คนละตำแหน่งกับที่ฝังวาเลนไทน์แห่งโรม เรลิกของเขาอยู่ที่มหาวิหารนักบญวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี

สารานุกรมคาทอลิกยังกล่าวถึงนักบุญคนที่สามที่ชื่อวาเลนไทน์ ผู้ซึ่งมีการกล่าวขานถึงในบัญชีมรณสักขียุคต้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เขาพลีชีพเพื่อศาสนาในแอฟริการ่วมกับเพื่อนเดินทางจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับเขาอีก
ไม่มีส่วนใดที่โรแมนติกปรากฏในชีวประวัติยุคกลางตอนต้นแต่เดิมของมรณสักขีทั้งสามคนนี้ ก่อนที่นักบุญวาเลนไทน์จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องรักใคร่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นี้ ระหว่างวาเลนไทน์แห่งโรมกับวาเลนไทน์แห่งเทอร์นีนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย
ศีรษะของนักบุญวาเลนไทน์เก็บรักษาไว้ในแอบบีย์นิวมินสเตอร์ วินเชสเตอร์ และเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่มีหลักฐานว่านักบุญวาเลนไทน์จะเป็นนักบุญที่ได้รับความนิยมก่อนบทกวีของเชาเซอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 แม้แต่ในพื้นที่วินเชสเตอร์ การเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์มิได้แตกต่างไปจากการเฉลิมฉลองนักบุญคนอื่นมาก และไม่มีโบสถ์ใดอุทิศถึงเขา
ในการตรวจชำระปฏิทินนักบุญโรมันคาทอลิก วันฉลองนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไปและลดขั้นไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ (particular calendar, ท้องถิ่นหรือประจำชาติ) ด้วยเหตุผล "แม้ความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์จะเก่าแก่ แต่ชื่อของเขาก็ถูกลดไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ เพราะนอกเหนือไปจากชื่อของเขาแล้ว ไม่มีข้อมูลอื่นใดทราบกันเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ เว้นแต่ว่า ศพเขาฝังที่เวียฟลามิเนียเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์" วันฉลองนี้ยังมีการเฉลิมฉลองอยู่ในบัลซาน (มอลตา) ที่ซึ่งมีการอ้างว่าพบเรลิกของนักบุญวาเลนไทน์ที่นั่น และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยผู้นับถือนิกายคาทอลิกดั้งเดิมที่ถือตามปฏิทินที่เก่ากว่าก่อนหน้าของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สองนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ยังมีการเฉลิมฉลองเป็นวันวาเลนไทน์ในนิกายอื่นของศาสนาคริสต์ ตัวอย่างเช่น วันวาเลนไทน์มีระดับระดับ "พิธีฉลอง" (commemoration) ในปฏิทินของคริสตจักรแห่งอังกฤษ และส่วนอื่นของแองกลิคันคอมมิวเนียน

ตำนาน

ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือที่ 6 ผลงานชื่อ Passio Marii et Marthae ได้กุเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนาแก่นักบุญวาเลนไทน์แห่งโรม ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เลย ผลงานนี้อ้างว่า นักบุญวาเลนไทน์ถูกเบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาคริสต์ และถูกสอบสวนโดยจักรพรรดิคลอเดียส กอธิคัสเป็นการส่วนตัว วาเลนไทน์ทำให้จักรพรรดิคลอเดียสประทับใจและได้สนทนากับเขา โดยพยายามให้เขาเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเพเกินโรมันเพื่อรักษาชีวิตของเขา วาเลนไทน์ปฏิเสธและพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิคลอเดียสหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกประหารชวิต ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตนั้น มีรายงานวาเขาได้แสดงปาฏิหาริย์โดยรักษาลูกสาวตาบอดของผู้คุมของเขา แอสเตอเรียส (Asterius) Passio สมัยหลังย้ำตำนานนี้ โดยเสริมเรื่องกุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ได้ทรงสร้างโบสถ์ครอบสุสานของเขา (เป็นความเข้าใจผิดกับผู้พิทักษ์ประชากร [tribune] ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ชื่อ วาเลนติโน ซึ่งบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ในขณะที่จูเลียสเป็นพระสันตะปาปา)  ตำนานได้หยิบยกขึ้นเป็นข้อเท็จจริงโดยบันทึกมรณสักขีในภายหลัง เริ่มจากบันทึกมรณสักขีของบีดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีย้ำในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใน Legenda Aurea  หนังสือนี้อธิบายคร่าว ๆ ถึงกิจการของนักบุญ (Acta Sanctorum) ยุคกลางตอนต้นของนักบุญวาเลนไทน์หลายคน และตำนานนี้จัดเข้ากับวาเลนไทน์ใต้วันที่ 
14 กุมภาพันธ์



คงได้ทราบถึงประวัติของวันนี้กันแล้วนะครับ.....ขอให้มีความสุขกันวันแห่งความรักกันทุกๆคน........
ความรัก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรักที่เกิดจากจิตใจที่บริสุทธิ์ รักด้วยการให้....ไม่ใช้ยึดครอง....ทุกวันนี้ที่โลกสับสนวุ่นวาย...เกิดปัญหามากมาย....เพราะต่างคน ต่างคิดว่า..ตนเองเป็นเจ้าของทุกอย่าง....แม้แต่กระทั้งสิ่งมองไม่เห็น จับจองไม่ได้ ยังถือเอามาเป็นของตัว.....แต่ถ้าหากเรารู้จักปล่อยว่าง และรู้จักการให้ แก่ผู้อื่น...ตัวเราเองก็จะปราศจากความทุกข์ทั้งปวง  อย่างที่ท่าน พุทธทาส ภิกขุ ได้สอนไว้ดังนี้ครับ 


*ขอบคุณที่ติดตาม
*ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org
         #Pairoj13

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สถิติและพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตคนไทย ปี 59 รู้ไว้ไม่ตกเทรนด์

            We Are Social ดิจิตอลเอเจนซี่ชื่อดังในสิงคโปร์ออกรายงานชื่อ Digital in 2016 ซึ่งได้สรุปสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตของทั่วโลก เลยที่น่าสนใจก็คือ ในท็อปลิสต์มีประเทศไทย รวมอยู่ด้วย ซึ่งตัวผมเองเห็นว่าคงจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนทั่วไป และ คนที่จะนำไปวางแผนด้านการตลาดสำหรับประกอบธุรกิจของตัวเอง เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำการตลาด ให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งข้อมูลจะออกมาเป็นรูปภาพกราฟฟิก ดูเข้าใจง่าย ไปดูกันเลยครับว่ามีอะไรกันบ้าง
เริ่มจากสถิติผู้ใช้ในประเทศไทย จากจำนวนประชากรทั้งหมด 68 ล้านคน
  • เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 38 ล้านคน คิดเป็น 56% ของประชากร
  • ทั้ง 38 ล้านคนนี้ใช้งาน Social Media ทั้งสิ้น
  • มีจำนวนเบอร์มือถือ/ซิมการ์ดที่ลงทะเบียนมากกว่า 82.78 ล้านบาท มากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมด
  • มีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียผ่านมือถือ 34 ล้านคน
คนไทยมีอุปกรณ์ดิจิตอลคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร
  • มือถือทุกประเภท 96%
  • มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน 64%
  • แล็ปท็อปหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 27%
  • แท็บเล็ต 11%
  • สมาร์ททีวี 2%
  • เครื่องอ่านอีบุ๊กและอุปกรณ์แบบสวมใส่ อีกอย่างละ 1%
คนไทยใช้เวลาเฉลี่ยเท่าไรไปกับสิ่งเหล่านี้
  • ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านแล็บท็อป/พีซี วันละ 4 ชั่วโมง 45 นาที
  • ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ วันละ 3 ชั่วโมง 53 นาที
  • ใช้เวลาเล่นโซเชี่ยล วันละ 2 ชั่วโมง 52 นาที
  • ใช้เวลาดูทีวี วันละ 2 ชั่วโมง 27 นาที
คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตบ่อยแค่ไหน
  • 86% ใช้ทุกวัน
  • 11% ใช้สัปดาห์ละครั้ง
  • 3% ใช้เดือนละครั้ง
  • 1% ใช้น้อยกว่าเดือนละครั้ง
สัดส่วนการเข้าชมเว็บไซตืในประเทศไทย
  • เข้าผ่านแล็บท็อป/พีซี 50% (ลดลงจากปีที่แล้ว 14%)
  • เข้าผ่านมือถือ 45% (เพิ่มขึ้น 30% จากปีที่แล้ว)
  • เข้าผ่านแท็บเล็ต 5% (ลดลงจากปีที่แล้ว 29%)
จำนวนผู้ใช้มือถือในไทย
  • มีผู้ใช้มือถือทั้งหมด 47 ล้านคน คิดเป็น 69% ของประชากรทั้งหมด
  • มีหมายเลขโทรศัพท์ที่จดทะเบียนทั้งหมด 82.8 ล้านเบอร์ คิดเป็น 122% ของประชากรทั้งหมด
  • คนไทยมีเบอร์มือถือเฉลี่ยคนละ 1.76 เบอร์
โซเชี่ยลที่คนไทยใช้มากที่สุดคือ Facebook รองลงมาคือ LINE
อายุของคนไทยที่ใช้ Facebook ช่วงอายุ 20-19 ปี ใช้มากที่สุด มีจำนวนถึงถึง 14 ล้านคน

เทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก ประเทศไทยอยู่ในแถวหน้า !

ดูข้อมูลของไทยกันไปแล้ว ต่อไปมาดูข้อมูลสรุปในภาพรวมทั่วโลกกันบ้างครับ
  • ประชากรโลกมีทั้งหมด 7.3 พันล้านคน
  • มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 3.4 พันล้านคน
  • มีผู้ใช้งานโซเชี่ยล 2.3 พันล้านคน
  • มีผู้ใช้งานมือถือ 3.7 พันล้านคน
แผนภูมิแท่งแสดงอัตราส่วนระหว่างผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกับประชากร ประเทศไทยอยุ่ที่ 56% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งโลก
ประเทศที่มีอัตราส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศมากที่สุดคือไอซ์แลนด์ มีสูงถึง 98% ส่วนประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในอัตราส่วนต่อประชากรน้อยที่สุดคือ เกาหลีเหนือ ที่ 0.03% หรือมีเพียงแค่ 7,200 คนเท่านั้น
เวลาที่ใช้ไปกับอินเทอร์เน็ตในแต่ละวัน ประเทศไทยถือเป็นที่ 4 ของโลก !!
ความเร็วอินเทอร์ตเน็ตของไทยเฉลี่ยอยุ่ที่ 8.2 Mbps อยู่ที่ 13 ของโลก และสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของโลกอีกด้วย
อัตราส่วนของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์เทียบกับจำนวนประชากร ประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มผู้นำ ด้วยอัตราส่วน 44%
ปิดท้ายด้วยยอดผู้ใช้งานโซเชี่ยล Facebook นำโด่งมาเป็นที่ 1 รองลงมาถือ Whatsapp ส่วน LINE ที่คนไทยนิยมมาก อยู่ที่อันดับ 14 ของโลก
จากสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตด้านบนคงจะได้รับข้อมูลกันไปพอสมควรแล้วต่อไปเรามาดู พฤติกรรมการใช้งานของคนในโลกไซเบอร์กันบ้างว่าพวกเขาชื่นชอบที่จะ....ทำอะไรบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ทาง 
ETDA (เอ็ตด้า) หรือ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์  และ  ICT (กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศและการสื่อสาร) เป็นผู้เปิดเผยออกมา ไปติดตามกันต่อเลยครับ

Screen Shot 2559-08-24 at 6.18.11 PM
Screen Shot 2559-08-24 at 6.18.16 PM
thailand-internet-user-profile-2016-33-638

capture-20160824-160211-600x414

capture-20160824-160323-600x399

thailand-internet-user-profile-2016-14-638


thailand-internet-user-profile-2016-39-638

thailand-internet-user-profile-2016-37-638-2
thailand-internet-user-profile-2016-41-638
thailand-internet-user-profile-2016-49-638
คิดว่าคงจะครบถ้วนสมบูรณ์นะครับ...เมื่อเรารู้ทั้งสถิติและพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ก็อย่าเก็บไว้เฉยๆ นะครับ นำไปต่อยอดแล้วสร้างประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ให้ได้ และอย่าเก็บไว้คนเดียวละ แบ่งปันให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์กันให้ทั่วถึงนะครับ เพราะยุคนี้คือยุคของการแบ่งปันสิ่งดีๆ เพื่อสร้างสังคมอุดมปัญญา..................
บทบาทของโซเซียลมีเดียในปัจจุบันมีผลต่อทุกๆด้านในสังคมไทย....มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น อาชญากรรม เศรษกิจ สภาพความเป็นอยู่ ทำให้บ้านเมืองเราพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ อย่างเสรี ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับสมัยก่อน.........
เมื่อมีสื่อของตัวเองแล้วยังไงก็...ขอให้ทุกคนใช้สื่อกันแบบสร้างสรรค์นะครับ...เพื่อให้สังคมไทยของเราน่าอยู่ขึ้น
***ขอบคุณที่ติดตามนะครับ***
ขอบคุณข้อความบ้างส่วนจาก www.9tana.com
และขอบคุณข้อมูลจาก www.marketingoops.com
#Pairoj13 

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การออมเงินนั้น.....สำคัญไฉน?

       

       ถ้าพูดถึงเรื่องเงินคงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่ามันมีความสำคัญกับการใช้ชีวิตของเราในยุคปัจจุบันมากขนาดไหน.....เรียกว่าแทบจะอยู่ไม่ได้เลยทีเดียวถ้าขาดมัน....เพราะไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็จำเป็นต้องมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องในกิจวัตรประจำวันของเราทั้งสิ้น...ไม่ว่า จะกิน จะใช้อะไร....อิทธิพลของเงินจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดคุณภาพชีวิตของเรา....ใครที่มีเงินมากๆ คุณภาพชีวิตก็ดีกว่าคนที่มีเงินน้อย...ชีวิตมีความสุขสบายกว่า แต่เราเคยคิดใหมครับว่าทำไม..ฐานะของแต่ละคนจึงต่างกัน...ทั้งๆที่เกิดมาก็มีทุกอย่างเท่ากัน หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของโชตชะตาฟ้าลิขิตขีดเขียนให้เราเดินให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้...แต่ถ้าผมจะบอกว่าเราสามารถกำหนดชีวิตเราเองได้..คุณจะเชื่อผมมั้ย...คนจนก็สามารถเป็นคนรวยและมีอิสรภาพทางการเงินได้ถ้ามีการวางแผนการเงินที่ดี...ทำไมเราจึงต้องวางแผนการเงิน? เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไม ่จำนวนคนจนมีเยอะกว่าคนรวย
เพราะคนจนสวนใหญ่ ขาดการวางแผนในการใช้เงิน หามาได้เท่าไหร่ก็ใช้ไปเท่านั้น...บางทีอาจจะใช้มากกว่าที่หาได้ด้วยซ้ำ..ไม่มีการสำรองเงินเอาไว้ใช้จ่ายในอนาคต เมื่อไม่มีการวางแผน ก็เท่ากับว่าไม่มีเป้าหมายในชีวิต เมื่อไม่มีเป้าหมายก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน จึงมีชีวิตอยู่อย่างวันต่อวัน คนจนก็ยังเป็นคนจนเหมือนเดิม....ถ้าหมดแรง เจ็บป่วยจะทำอย่างไร ก็คงไม่พ้นการหยิบยืมจากคนอื่น หรือนำเงินจากอนาคตมาใช้ แล้วก็ต้องมาทำงานใช้หนี้ที่หลัง
*******************************************************************




   ว่ากันเรื่องการออมกันบ้าง หากเราต้องการออม เราจะมีแผนการออมอย่างไรบ้าง ถึงจะบรรลุเป้าหมาย และอิสรภาพทางการเงินได้ จากที่ผมได้ศึกษาจากการอ่านหนังสือและสื่อต่างๆ มาพอสมควรพอจะสรุปได้ ดังนี้

1.ก่อนที่เราจะออมเงิน เราต้องสำรวจรายรับ-รายจ่าย ของเราก่อนว่ามีอะไรบ้าง รวมถึง รายจ่ายที่อาจจะขึ้นด้วยไม่คาดคิด ด้วยการทำบัญชีงบประมาณส่วนตัว
2.แบ่งเงินรายรับที่ออกเป็น 4 กอง
  -กองแรก ใช้สำหรับออม โดยใช้เงิน 10% ของรายรับทั้งหมดให้ความสำคัญกับเงินกองนี้เป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะมีรายจ่ายขนาดไหนก็ต้องแบ่งเงินเข้ากองนี้ให้ได้
  -กองสอง ใช้สำหรับใช้หนี้ 
  -กองสาม ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 
  -กองสี่ ใช้สำหรับลงทุน
3.ศึกษาเรื่องการลงทุนต่างๆ เพื่อให้เงินงอกเงย เช่น กองทุนรวม หุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ ควรประเมินความเสี่ยงให้เหมาะสมเท่าที่เราพอจะรับได้ ไม่เสี่ยงจนเกินไป
********************************************************************

กฏเหล็กของการออมให้พิชิตเงินล้าน

1.ใช้เงินให้ต่ำกว่าฐานะตัวเอง
2.จ่ายเงินให้ตัวเองก่อนเสมอ คนเรามีเวลาในการทำงานหาเงินเพียงแค่ 30 ปี แต่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกหลายปี
3.หักเงินไว้เก็บอย่างน้อย 10% เสมอ
4.ฝึกการออมให้เป็นนิสัยและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้

เครดิต เรื่องฉลาดๆ ของคนกระเป๋าตุง

พราะเราไม่รู้อนาคตต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร....การวางแผนอนาคตไว้จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญที่สุด....ชาติกำหนดไม่ใช้สิ่งที่จะตัดสินให้เราเป็นอย่างไร ความคิดของเราต่างหาก...มหาเศรษฐีหลายคน ก็ไม่ได้เกิดมาจากตระกูลที่ร่ำรวย แต่พวกเขามีการวางแผนและมีความคิดที่ไม่ยอมแพ้...ว่าคนเราต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นได้  ถ้าเราไม่ยอมแพ้......หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชนกับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ
เป็นกำลังใจให้คนสู้ชีวิตทุกคน...เราจะสู้และสำเร็จไปด้วยกันนะครับ
*ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13


   

Wikipedia

ผลการค้นหา