วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560
การสร้างรายได้จาก Social medai ด้วย PageQQ
ถ้าเอ่ยชื่อ Facebook หรือ Line คงไม่มีใครไม่รู้จักนะครับ เพราะเป็น social media ยอดนิยมของคนไทยและคนทั่วโลก ประเทศไทย มีประชากรประมาณ 70 ล้านคน มีคนใช้ สื่อสังคมออนไลน์ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ดูได้จากสถิติด้านล่างได้เลยครับ
จากสถิติที่เราเห็น..จะพบว่าอัตราการใช้งาน อินเทอร์เน็ต และ โซเซียล มีเดีย มีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี ยิ่งปี่นี้ รัฐบาลได้ประกาศนโยบายที่จะให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล 4.0 อย่างเต็มตัวด้วยแล้ว แนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ต ต้องเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
:
จากข้อมูลที่ได้..เรามองเห็นอะไรบ้าง? นั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไร ให้อยู่ได้ในสังคมที่มีความรวดเร็วแบบนี้ ทุกวันนี้คนสมัยใหม่ใช้เวลาไปกับการใช้โทรศัพท์มือถือ และเล่น โซเซียล มีเดีย เฉลี่ยแล้วประมาณ 7 ชั่วโมงต่อวัน เรียกได้ว่าตั้งแต่ ตื่น ยัน เข้านอน โซเซียล มีเดีย เข้ามามีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิตประจำวันก็ว่าได้ แต่..เราเสียเวลาทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?
:
เวลา 7 ชม.ถ้าเราเอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่มันมีประโยชน์มากกว่าเล่น Social เฉยๆ มันน่าจะสร้างรายได้ให้เราได้บ้าง ปัจจุบันช่องทางในการทำมาหากิน นั้นมีความหลากหลายกว่าเมื่อก่อนมาก ส่วนที่เพิ่มเดิมเข้ามา ก็คือ การสร้างรายได้จากทางออนไลน์ ทั้งการขายของออนไลน์ การเป็นโค้ชออนไลน์ การรับจ้างทำงานอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ ซึ่งงานเหล่านี้สามารถที่จะทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ เพียงแต่เราต้องแบ่งเวลาให้เป็นเท่านั้นเอง
:
การเริ่มต้นนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแต่เราต้องทำมันอย่างจริงจังจึงจะได้ผลลัพท์ตามที่หวังไว้ ช่องทางการสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งที่ผมอยากมาแนะนำให้ทุกคนลองพิจารณาดู ในบทความนี้ ก็คือ การสร้างรายได้จากการใช้งาน PageQQ ซึ่งเป็นธุรกิจน้องใหม่ ความภูมิใจของคนไทย ถ้าหาก อเมริกา มี Facebook และ Amazon เป็นอาวุธหลักทางเศรษฐกิจ เกาหลีใต้ มี Line และ 11street ,จีนมี We chat และ Alibaba คนไทยก็จำเป็นจะต้องมี โซเซียล มีเดีย ที่จะใช้เป็นอาวุธต่อกรกับ ยักษ์ใหญ่เหล่านี้บ้าง ซึ่ง PageQQ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
:
PageQQ คืออะไร? และมันจะสามารถสร้างเงินให้เราได้อย่างไร คงจะเป็นข้อสงสัยของหลายคน
ผมจึงจะขออธิบายให้พอเข้าใจกันแบบคราวๆ ไว้อย่างนี้ครับ
:
PageQQ คือ สื่อสังคมออนไลน์ (social media ) ประเภทหนึ่งที่เป็นในลักษณะของ บล๊อก เอาไว้ให้เราแชร์เรื่องราวต่างๆลงไป คล้ายๆ blog ที่ผมเขียนให้ทุกท่านอ่านอยู่นี้แหละครับ โดย PageQQ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่เราเขียนลงไปในพื้นที่ส่วนตัวของเรา ไปยังสังคมออนไลน์ยอดนิยมประเภทอื่นๆ เช่น Facebook หรือ Line ถือว่าเป็น Media ที่ผสมผสานเอาหลายอย่างมาไว้ด้วยกัน...
:
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ PageQQ คืออะไร?
:
แล้วรายได้มาจากไหน?
1.รายได้มาจาก รูปแบบธุรกิจในลักษณะของธุรกิจเครือข่าย รายได้จากการแนะนำ รายได้จากจำนวนสมาชิกเป็นระดับชั้น
2.รายได้จากความสามารถในการสร้างเรื่องราว หรือ Content ถ้าหากว่าเรามีเรื่องราวที่มีประโยชน์และได้รับความนิยม ก็จะสามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนยอดวิว ทีี่คนเข้าชมเรื่องราวของเรา โดยระบบของ PageQQ จะรวบรวมให้แล้วจ่ายเป็นรายเดือน
3.รายได้สืบเนื่องมาจากข้อที่ 2 ก็คือเมื่อเรื่องราวของเราเป็นที่นิยมมากๆ ก็สามารถชักนำผู้ที่สนใจจะลงโฆษณาเข้ามาได้ ทำให้เรามีส่วนแบ่งจากค่าโฆษณา นั้นได้ คล้ายกับการเปิดเพจใน Facebook
:
ศึกษารายละเอียดรายได้เพิ่มเติ่มที่
การสร้างรายได้ของ PageQQ
:
หากเราเป็นคนที่เล่น โซเซียล มีเดีย อยู่แล้ว การสร้างประโยชน์และสร้างรายได้ จากการเล่น โซเซียล ของเราก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระ ทางการเงิน และช่วยเพ่ิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งขึ้นมา
:
เพราะในปัจจุบัน..การที่เรามีรายได้ทางเดียว คือ ความเสี่่ยงอย่างมาก ที่จะพบกับความลำบากใน ภายหลังยิ่งถ้าเราเป็นคนที่ต้องรับภาระหลายๆอย่างด้วยแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาช่องทางการรับรายได้อื่นๆเข้ามาช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง
:
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วคงจะพอเข้าใจบ้างแล้วนะครับว่า PageQQ คืออะไรและสร้างรายได้แบบไหน
สิ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้ก็คือว่า ทิศทางของ PageQQ กำลังจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่เข้ามาจับจองพื้นที่ก่อนย่อมจะได้เปรียบ
:
และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆคิดให้ดีๆ ก็คือ ความเป็นชาตินิยมและอัตลักษณ์ในความเป็นไทย ของเรา ถ้าคนไทยเรา ไม่สนับสนุนคนไทยด้วยกันแล้ว ใครที่ไหนจะมาสนับสนุนเรา ยุคนี้คือยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว เราไม่ได้แข่งขันกันที่ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เรายังแข่งขันกันด้วย ตัวตน การคาดการณ์และวิสัยทัศน์ที่รวดเร็ว คนที่มองกาลไกล และตัดสินใจอย่างถูกต้องเท่านั้น
ที่จะไปสู่ความสำเร็จได้
:
หากว่าใครยังไม่ค่อยมั่นใจ ว่าสิ่งที่ผมมาแนะนำนี้ เป็นของจริงหรือเปล่า ถูกกฏหมายหรือไม่ ก็สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ตาม Google หรือ เวปค้นหาต่างๆได้
:
แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง และลองใช้ งานเจ้า PageQQ ที่ผมว่านี้ดู...ก็สามารถ
:
******************************************
🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
หากมีข้อสงสัยสามารถ ขอคำปรึกษาได้
ตามช่องทางดังนี้ครับ
🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
ID Line : Pairoj13og
Facebook : ไพโรจน์ แสนใจยา
โทร : 0917245203
*****************************************
"โอกาศและความมั่งคั่ง ร่ำรวย จะอยู่กับคนที่ คู่ควร กับมันเท่านั้น
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer
#IQQpairoj13
จากสถิติที่เราเห็น..จะพบว่าอัตราการใช้งาน อินเทอร์เน็ต และ โซเซียล มีเดีย มีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี ยิ่งปี่นี้ รัฐบาลได้ประกาศนโยบายที่จะให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล 4.0 อย่างเต็มตัวด้วยแล้ว แนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ต ต้องเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
:
จากข้อมูลที่ได้..เรามองเห็นอะไรบ้าง? นั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไร ให้อยู่ได้ในสังคมที่มีความรวดเร็วแบบนี้ ทุกวันนี้คนสมัยใหม่ใช้เวลาไปกับการใช้โทรศัพท์มือถือ และเล่น โซเซียล มีเดีย เฉลี่ยแล้วประมาณ 7 ชั่วโมงต่อวัน เรียกได้ว่าตั้งแต่ ตื่น ยัน เข้านอน โซเซียล มีเดีย เข้ามามีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิตประจำวันก็ว่าได้ แต่..เราเสียเวลาทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?
:
เวลา 7 ชม.ถ้าเราเอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่มันมีประโยชน์มากกว่าเล่น Social เฉยๆ มันน่าจะสร้างรายได้ให้เราได้บ้าง ปัจจุบันช่องทางในการทำมาหากิน นั้นมีความหลากหลายกว่าเมื่อก่อนมาก ส่วนที่เพิ่มเดิมเข้ามา ก็คือ การสร้างรายได้จากทางออนไลน์ ทั้งการขายของออนไลน์ การเป็นโค้ชออนไลน์ การรับจ้างทำงานอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ ซึ่งงานเหล่านี้สามารถที่จะทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ เพียงแต่เราต้องแบ่งเวลาให้เป็นเท่านั้นเอง
:
การเริ่มต้นนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแต่เราต้องทำมันอย่างจริงจังจึงจะได้ผลลัพท์ตามที่หวังไว้ ช่องทางการสร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งที่ผมอยากมาแนะนำให้ทุกคนลองพิจารณาดู ในบทความนี้ ก็คือ การสร้างรายได้จากการใช้งาน PageQQ ซึ่งเป็นธุรกิจน้องใหม่ ความภูมิใจของคนไทย ถ้าหาก อเมริกา มี Facebook และ Amazon เป็นอาวุธหลักทางเศรษฐกิจ เกาหลีใต้ มี Line และ 11street ,จีนมี We chat และ Alibaba คนไทยก็จำเป็นจะต้องมี โซเซียล มีเดีย ที่จะใช้เป็นอาวุธต่อกรกับ ยักษ์ใหญ่เหล่านี้บ้าง ซึ่ง PageQQ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
:
PageQQ คืออะไร? และมันจะสามารถสร้างเงินให้เราได้อย่างไร คงจะเป็นข้อสงสัยของหลายคน
ผมจึงจะขออธิบายให้พอเข้าใจกันแบบคราวๆ ไว้อย่างนี้ครับ
:
PageQQ คือ สื่อสังคมออนไลน์ (social media ) ประเภทหนึ่งที่เป็นในลักษณะของ บล๊อก เอาไว้ให้เราแชร์เรื่องราวต่างๆลงไป คล้ายๆ blog ที่ผมเขียนให้ทุกท่านอ่านอยู่นี้แหละครับ โดย PageQQ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่เราเขียนลงไปในพื้นที่ส่วนตัวของเรา ไปยังสังคมออนไลน์ยอดนิยมประเภทอื่นๆ เช่น Facebook หรือ Line ถือว่าเป็น Media ที่ผสมผสานเอาหลายอย่างมาไว้ด้วยกัน...
:
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ PageQQ คืออะไร?
:
แล้วรายได้มาจากไหน?
1.รายได้มาจาก รูปแบบธุรกิจในลักษณะของธุรกิจเครือข่าย รายได้จากการแนะนำ รายได้จากจำนวนสมาชิกเป็นระดับชั้น
2.รายได้จากความสามารถในการสร้างเรื่องราว หรือ Content ถ้าหากว่าเรามีเรื่องราวที่มีประโยชน์และได้รับความนิยม ก็จะสามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนยอดวิว ทีี่คนเข้าชมเรื่องราวของเรา โดยระบบของ PageQQ จะรวบรวมให้แล้วจ่ายเป็นรายเดือน
3.รายได้สืบเนื่องมาจากข้อที่ 2 ก็คือเมื่อเรื่องราวของเราเป็นที่นิยมมากๆ ก็สามารถชักนำผู้ที่สนใจจะลงโฆษณาเข้ามาได้ ทำให้เรามีส่วนแบ่งจากค่าโฆษณา นั้นได้ คล้ายกับการเปิดเพจใน Facebook
:
ศึกษารายละเอียดรายได้เพิ่มเติ่มที่
การสร้างรายได้ของ PageQQ
:
หากเราเป็นคนที่เล่น โซเซียล มีเดีย อยู่แล้ว การสร้างประโยชน์และสร้างรายได้ จากการเล่น โซเซียล ของเราก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระ ทางการเงิน และช่วยเพ่ิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งขึ้นมา
:
เพราะในปัจจุบัน..การที่เรามีรายได้ทางเดียว คือ ความเสี่่ยงอย่างมาก ที่จะพบกับความลำบากใน ภายหลังยิ่งถ้าเราเป็นคนที่ต้องรับภาระหลายๆอย่างด้วยแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาช่องทางการรับรายได้อื่นๆเข้ามาช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง
:
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วคงจะพอเข้าใจบ้างแล้วนะครับว่า PageQQ คืออะไรและสร้างรายได้แบบไหน
สิ่งที่ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้ก็คือว่า ทิศทางของ PageQQ กำลังจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่เข้ามาจับจองพื้นที่ก่อนย่อมจะได้เปรียบ
:
และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆคิดให้ดีๆ ก็คือ ความเป็นชาตินิยมและอัตลักษณ์ในความเป็นไทย ของเรา ถ้าคนไทยเรา ไม่สนับสนุนคนไทยด้วยกันแล้ว ใครที่ไหนจะมาสนับสนุนเรา ยุคนี้คือยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว เราไม่ได้แข่งขันกันที่ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เรายังแข่งขันกันด้วย ตัวตน การคาดการณ์และวิสัยทัศน์ที่รวดเร็ว คนที่มองกาลไกล และตัดสินใจอย่างถูกต้องเท่านั้น
ที่จะไปสู่ความสำเร็จได้
:
หากว่าใครยังไม่ค่อยมั่นใจ ว่าสิ่งที่ผมมาแนะนำนี้ เป็นของจริงหรือเปล่า ถูกกฏหมายหรือไม่ ก็สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ตาม Google หรือ เวปค้นหาต่างๆได้
:
แต่ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง และลองใช้ งานเจ้า PageQQ ที่ผมว่านี้ดู...ก็สามารถ
:
******************************************
🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
เข้าไปสมัครใช้งานได้ฟรี!!
ที่นี่ www.pageqq.com
:
วิธีการสมัครก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรหากมีข้อสงสัยสามารถ ขอคำปรึกษาได้
ตามช่องทางดังนี้ครับ
🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻🔻
ID Line : Pairoj13og
Facebook : ไพโรจน์ แสนใจยา
โทร : 0917245203
*****************************************
*********************************************************************************
"โอกาศและความมั่งคั่ง ร่ำรวย จะอยู่กับคนที่ คู่ควร กับมันเท่านั้น
ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบบังเอิญ ความมุ่งมั่นและตั้งใจเท่านั้น..คือของจริง"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer
#IQQpairoj13
อารมณ์กำหนดชีวิต
อารมณ์สามารถผลักดันชีวิตของคนเราให้ไปสู่จุดสูงสุด และ จุดต่ำสุดของชีวิตได้ หากเราไม่สามารถควบคุมมันไว้ให้ดี
:
ถ้าหากคุณต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน
และ มีฐานะร่ำรวย ส่ิงที่คุณควรทำคือคุณต้องพัฒนาอารมณ์ด้านบวกให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด และ ควรหลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบที่คอยบั่นทอนชีวิตคุณ
:
ซึ่งอารมณ์เชิงบวก จะมีด้วยกัน 7 ประการดังนี้
1.อารมณ์แห่งปณิธาน
2.อารมณ์แห่งศรัทธา
3.อารมณ์แห่งรัก
4.กามารมณ์
5.อารมณ์แห่งความกระตือรือร้น
6.อารมณ์พิศวาส
7.อารมณ์แห่งความหวัง
:
ถ้าเรานำอารมณ์เชิงบวกทั้ง 7 ประการนี้ไปพัฒนาและปรับใช้ในชีวิตให้ดีขึ้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับตัวเอง
:
ส่วนอารมณ์เชิงลบ ที่เราควรจะหลีกเลี่ยงให้ไกล ก็มี 7 ประการเหมือนกันดังนี้
1.อารมณ์แห่งความกลัว
2.อารมณ์แห่งความอิจฉาริษยา
3.อารมณ์เกลียดชัง
4.อารมณ์อาฆาตแค้น
5.อารมณ์แห่งความโลภ
6.อารมณ์แห่งความงมงาย
7.อารมณ์แห่งความโกรธ
:
ถ้าหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงหรือควบคุมอารมณ์เชิงลบทั้ง 7 นี้ได้ ผมเชื่อว่าชีวิตคุณจะมีแต่ขึ้นๆๆ ไม่มีแย่อย่างแน่นอน
:
การพัฒนาด้านอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาทางด้านอื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีบุคลิกหน้าตา ดีขนาดไหน มีความรู้..สักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ก็คงจะไม่มีใครอยากอยู่ด้วย
:
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นตัวช่วยอันหนึ่งที่สามารถทำให้ทุกคนก้าวไปยังจุดที่หมายที่หวังไว้ได้นะครับ
:
แล้วอย่าลืม Like & Share เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปด้วยนะครับ
:
#เพจ ผู้ชายใส่ใจตัวเอง
#IQR13 H&C
CR.คิดแล้วรวย (Napoleon Hill)
:
ถ้าหากคุณต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน
และ มีฐานะร่ำรวย ส่ิงที่คุณควรทำคือคุณต้องพัฒนาอารมณ์ด้านบวกให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด และ ควรหลีกเลี่ยงอารมณ์ด้านลบที่คอยบั่นทอนชีวิตคุณ
:
ซึ่งอารมณ์เชิงบวก จะมีด้วยกัน 7 ประการดังนี้
1.อารมณ์แห่งปณิธาน
2.อารมณ์แห่งศรัทธา
3.อารมณ์แห่งรัก
4.กามารมณ์
5.อารมณ์แห่งความกระตือรือร้น
6.อารมณ์พิศวาส
7.อารมณ์แห่งความหวัง
:
ถ้าเรานำอารมณ์เชิงบวกทั้ง 7 ประการนี้ไปพัฒนาและปรับใช้ในชีวิตให้ดีขึ้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับตัวเอง
:
ส่วนอารมณ์เชิงลบ ที่เราควรจะหลีกเลี่ยงให้ไกล ก็มี 7 ประการเหมือนกันดังนี้
1.อารมณ์แห่งความกลัว
2.อารมณ์แห่งความอิจฉาริษยา
3.อารมณ์เกลียดชัง
4.อารมณ์อาฆาตแค้น
5.อารมณ์แห่งความโลภ
6.อารมณ์แห่งความงมงาย
7.อารมณ์แห่งความโกรธ
:
ถ้าหากคุณสามารถหลีกเลี่ยงหรือควบคุมอารมณ์เชิงลบทั้ง 7 นี้ได้ ผมเชื่อว่าชีวิตคุณจะมีแต่ขึ้นๆๆ ไม่มีแย่อย่างแน่นอน
:
การพัฒนาด้านอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาทางด้านอื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีบุคลิกหน้าตา ดีขนาดไหน มีความรู้..สักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเราไม่สามารถจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ก็คงจะไม่มีใครอยากอยู่ด้วย
:
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นตัวช่วยอันหนึ่งที่สามารถทำให้ทุกคนก้าวไปยังจุดที่หมายที่หวังไว้ได้นะครับ
:
แล้วอย่าลืม Like & Share เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปด้วยนะครับ
:
#เพจ ผู้ชายใส่ใจตัวเอง
#IQR13 H&C
CR.คิดแล้วรวย (Napoleon Hill)
สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจ แล้วต้องการสร้างมั่นขึ้นมาใหม่
เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เข้าไปดูวิธีการสร้างความมั่นใจให้ตัวเองได้นะครับ
ตามลิงค์นี้ 15 วิธีสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560
คุณกำลัง..เครียด...อยู่หรือเปล่า?
:
รู้มัั้ยว่า..ความเครียด ส่งผลหลายอย่างกับชีิวิต
ทั้งทาง..ร่างกาย และ จิตใจ
:
ทางร่างกาย ทำให้สุขภาพทรุดโทรม
หน้าตา ม่นหมอง เป็นสาเหตุของ โรคเส้นเลือดในสมองแตก
และ มะเร็ง
:
ทางจิตใจ ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการทางจิต
และ อาจคิดสั้น ฆ่าตัวตาย
:
แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะจัดการกับ..มันไม่ได้
ถ้าเรารู้วิธีที่จะ...ควบคุมความเครียด ต่อให้มีปัญหาชีวิต
เข้ามามากแค่ไหน..ก็ไม่สามารถทำร้าย...อะไรเราได้
:
9 วิธีควบคุมความเครียดให้อยุ่หมัด
คือทางออกในการรับมือ กับ ความเครียด ให้กับคุณได้
;
วิธีต่างๆที่ผมว่านั้นจะมีอะไรบ้าง
ติดตามได้ในวิดีโอด้านล้างได้เลยนะครับ
#ด้วยความปราถนาดี
#Cap.rojer13
:
รู้มัั้ยว่า..ความเครียด ส่งผลหลายอย่างกับชีิวิต
ทั้งทาง..ร่างกาย และ จิตใจ
:
ทางร่างกาย ทำให้สุขภาพทรุดโทรม
หน้าตา ม่นหมอง เป็นสาเหตุของ โรคเส้นเลือดในสมองแตก
และ มะเร็ง
:
ทางจิตใจ ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า อาการทางจิต
และ อาจคิดสั้น ฆ่าตัวตาย
:
แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะจัดการกับ..มันไม่ได้
ถ้าเรารู้วิธีที่จะ...ควบคุมความเครียด ต่อให้มีปัญหาชีวิต
เข้ามามากแค่ไหน..ก็ไม่สามารถทำร้าย...อะไรเราได้
:
9 วิธีควบคุมความเครียดให้อยุ่หมัด
คือทางออกในการรับมือ กับ ความเครียด ให้กับคุณได้
;
วิธีต่างๆที่ผมว่านั้นจะมีอะไรบ้าง
ติดตามได้ในวิดีโอด้านล้างได้เลยนะครับ
#ด้วยความปราถนาดี
#Cap.rojer13
วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560
ความสำเร็จ...ของ..หมี กริชลี่
" ความสำเร็จ" คงเป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เราต้องการมากที่สุด ทุกคนที่เกิดมาบนโลก ล้วนอยากประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้
การที่คนๆหนึ่งจะประสบความสำเร็จ ได้ ต้องมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งในหลายปัจจัยนั้นก็คือ ความเข้าใจในเรื่องที่ทำ อย่างลึกซึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะมองข้ามเรื่องนี้ไป
โดยมุ่งเน้นหาแต่...วิธีการในการสร้างความสำเร็จ มากกว่าการทำความเข้าใจ ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ดูไม่ถูกต้อง ในบทความนี้ เราจะมาเริ่มต้น การสร้างความสำเร็จ จากความเข้าใจ กันเสียก่อน
ผ่านตัวละคร ที่เป็น หมี ที่ดูน่ากลัว และอาจมองว่าเป็นแค่สัตว์ธรรมดาๆ แต่การใช้ชีวิตของมัน กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวความรู้ที่น่าทึ่ง
: ก่อนที่เรา จะไปเรียนรู้กับเรื่องราวของ หมี ผมอยากจะน้อมนำเอา ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาเกริ่นนำ เพื่อปูพื้นฐานทำความเข้าใจกันก่อน ซึ่งปรัชญานี้เป็นองค์ความรู้อันล้ำค่าที่พระองค์ท่าน ได้มอบไว้ให้กับปวงชนชาวไทย ได้นำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
: “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า” คำสอนที่แสนเรียบง่าย แต่นำไปใช้แล้วได้ผลจริงแบบยั่งยืน หลักการของพระองค์ท่านได้มุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจ มากกว่าวิธีการ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องที่เราทุกคนอาจจะหลงลืมไป
: เชื่อมโยงจากปรัชญาของพระองค์ท่าน มาสู่เรื่องราว ของ หมี กริซลี่ หมีที่เป็นนักจับปลาตัวโยง แห่ง อแลสก้า เจ้าหมีตัวใหญ่บึกบึน ดูน่ากลัว ตัวนี มีเรื่องราวชีวิตอย่างไรบ้าง ที่เราจะนำมาเป็นกรณีศึกษา ในบทความนี้ เจ้าหมี กริซลี่ ตัวโต สูง 2 เมตร หนัก 250 กก. ชื่นชอบ ผลไม้ และ เนื้อสัตว์ เป็นอย่างมาก โดย เฉพาะ เนื้อปลา หมี กับ ปลา ถ้าเราเคยทราบเรื่องราว ว่า 2 อย่างนี้คือของคู่กัน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า หมี ที่ดูตัวใหญ่เทอะทะ ดูไม่น่าจะสามารถ จับปลาตัวเล็ก ที่ว่ายอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็วได้ มันสามารถจับปลาขึ้นมากินได้อย่างไร?
:สิ่งที่เจ้า หมี กริชลี่ ทำนั้น ดูเหมือนจะเรียบง่าย และ เป็นวิธีที่แสนธรรมดา คือ การลงไปไล่จับปลาที่อยู่ในน้ำ แต่ก่อนที่มันจะไล่จับปลานั้น มันได้ มุ่งเน้นไปที่ การศึกษา และทำความเข้าใจปลาเสียก่อน โดยการเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของ ปลา ว่าปลามีนิสัยยังไง ว่ายน้ำแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เมื่อหมีเฝ้ามองปลาที่อยู่ในน้ำจนเข้าใจพฤติกรรมทั้งหมดของปลาแล้ว มันจึงเริ่มหาวิธีการ ที่จะจับปลา โดยมันจะเริ่มต้น ด้วยการกวาดต้อนปลา ให้เข้าไปในพื้นที่สังหารของมันเสียก่อน ซึ่งพื้นที่ที่มันเลือกไว้ ก็จะมีลักษณะที่เป็นแหล่งน้ำตื้นๆ เพื่อที่มันจะได้เคลือนไหวได้สะดวก และสามารถจับปลาได้ง่าย
เมื่อมันต้อนปลาให้เข้าไปสู่พื้นที่ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปของมันคือ การกวนน้ำโดยจะทำวนไปวนมา เพื่อให้ปลาเวียนหัว และอ่อนแรงลง จากนั้นก็คอยโอกาศที่เหมาะสม ลงมือจับปลา ด้วย อุงมือที่ใหญ่และเล็บที่แหลมคม สุดท้ายมันก็ได้ริ้มรสอาหารอันโอชะ : จากกรณีศึกษา ของ หมี กริชลี่ เราจะพบว่า ความสำเร็จในการจับปลาของมัน ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มันมีวิธีการคิดที่เป็นขั้นเป็นตอน และผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ไม่ได้ทำเพียงครั้งเดียว มันต้องใช้ทั้งความรู้ ความอดทน และ การศึกษาทำความเข้าใจ และ ทดลองทำซ้ำๆ จนได้วิธีการ ที่เหมาะสม ในการจะจับปลาให้ได้แต่ละตัว เป็นเรื่องยากสำหรับหมีตัวโต แต่ถ้ามันทำได้สำเร็จ นั่นหมายถึง การมีชีวิตรอด ซึ่งบางครั้ง เจ้าหมีเอง ก็ไม่ได้จับปลาได้ทุกครั้งเสมอไป มันมีวัน ที่พลาด และมีวันที่สมหวัง
: ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตของคนเรา ทุกวันนี้เรามุ่งเน้นค้นหา แต่วิธีการสร้างความสำเร็จ แต่ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ความสำเร็จ มันคือะไร การได้วิธีการมา โดยไม่มีความเข้าใจในเรื่องที่ทำ ก็เหมือนกับมีหนทาง แต่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง ความสำเร็จจึงดูห่างออกไปทุกที่ สิ่งที่เราควรจะทำอันดับแรก คือ การเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราต้องการความสำเร็จแบบไหน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง หรือ ความสุข จากนั้นก็วางเป้าหมายของชีวิต ให้ชัดเจน เช่น มีเงิน 100 ล้าน หรือ เป็น เศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย แล้วจึงค่อยไปหาวิธีการ เป็นอันดับต่อไป
: หากเรามีพื้นฐานความเข้าใจในสิ่งทีทำอย่างลึกซึ้งแล้ว สมองจะสั่งให้เราหาวิธีการ ไปสู่จุดหมายนั้นขึ้นมาเอง การไม่ให้ปลา คือ การทำความเข้าใจ การให้เบ็ดกับวิธีการตกปลา คือ วิธีการ และในวิธีการ ก็ต้องทำความเข้าใจ อีกที่ ว่า เบ็ดมันทำงานยังไง ปลาจะกินเบ็ดแบบไหน ซึ่ง ทั้งความ เข้าใจ และ วิธีการ จะต้องทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ในการที่เราจะไปให้ถึง ความสำเร็จ ที่วาดเอาไว้ ให้ได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก......
: ก็คือ "การทำความเข้าใจในสิ่งที่ทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยใช้ วิธีการ เข้ามาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย"
: หวังว่าส่ิงที่ผมนำมาแบ่งปันในบทความนี้ คงจะพอเป็นแนวทาง ให้กับหลายคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีิวิต ได้บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความเพียรพยามยาม ในเส้นทางของแต่ละคน และผมอยากจะบอกว่า เส้นทางแห่งความสำเร็จ ไม่ใช่อะไรที่ ลอกเลียนแบบได้ การทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ บางที่อาจไม่ทำให้เราประสบความสำเร็จเหมือนกับเขา เพราะแต่ละคนย่อมมีวิธีการที่ต่างกัน ดังนั้นเราไม่ควรที่จะนำวิธีของเขามาทำทั้งหมดควรเลือกเป็นบางวิธีแล้วนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตของเรา จะดีกว่า และคุณสมบัติข้อหนึ่ง สำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จทุกคนจะต้องมี คือ อดทนต่ออุปสรรค์ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ดังที่ พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสสั่งสอนเราไว้ว่า
"วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะล่วงทุกข์ ได้เพราะความเพียร "
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
: ก่อนที่เรา จะไปเรียนรู้กับเรื่องราวของ หมี ผมอยากจะน้อมนำเอา ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาเกริ่นนำ เพื่อปูพื้นฐานทำความเข้าใจกันก่อน ซึ่งปรัชญานี้เป็นองค์ความรู้อันล้ำค่าที่พระองค์ท่าน ได้มอบไว้ให้กับปวงชนชาวไทย ได้นำไปใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
: “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า” คำสอนที่แสนเรียบง่าย แต่นำไปใช้แล้วได้ผลจริงแบบยั่งยืน หลักการของพระองค์ท่านได้มุ่งเน้นไปที่ความเข้าใจ มากกว่าวิธีการ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องที่เราทุกคนอาจจะหลงลืมไป
: เชื่อมโยงจากปรัชญาของพระองค์ท่าน มาสู่เรื่องราว ของ หมี กริซลี่ หมีที่เป็นนักจับปลาตัวโยง แห่ง อแลสก้า เจ้าหมีตัวใหญ่บึกบึน ดูน่ากลัว ตัวนี มีเรื่องราวชีวิตอย่างไรบ้าง ที่เราจะนำมาเป็นกรณีศึกษา ในบทความนี้ เจ้าหมี กริซลี่ ตัวโต สูง 2 เมตร หนัก 250 กก. ชื่นชอบ ผลไม้ และ เนื้อสัตว์ เป็นอย่างมาก โดย เฉพาะ เนื้อปลา หมี กับ ปลา ถ้าเราเคยทราบเรื่องราว ว่า 2 อย่างนี้คือของคู่กัน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า หมี ที่ดูตัวใหญ่เทอะทะ ดูไม่น่าจะสามารถ จับปลาตัวเล็ก ที่ว่ายอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็วได้ มันสามารถจับปลาขึ้นมากินได้อย่างไร?
:สิ่งที่เจ้า หมี กริชลี่ ทำนั้น ดูเหมือนจะเรียบง่าย และ เป็นวิธีที่แสนธรรมดา คือ การลงไปไล่จับปลาที่อยู่ในน้ำ แต่ก่อนที่มันจะไล่จับปลานั้น มันได้ มุ่งเน้นไปที่ การศึกษา และทำความเข้าใจปลาเสียก่อน โดยการเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมของ ปลา ว่าปลามีนิสัยยังไง ว่ายน้ำแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เมื่อหมีเฝ้ามองปลาที่อยู่ในน้ำจนเข้าใจพฤติกรรมทั้งหมดของปลาแล้ว มันจึงเริ่มหาวิธีการ ที่จะจับปลา โดยมันจะเริ่มต้น ด้วยการกวาดต้อนปลา ให้เข้าไปในพื้นที่สังหารของมันเสียก่อน ซึ่งพื้นที่ที่มันเลือกไว้ ก็จะมีลักษณะที่เป็นแหล่งน้ำตื้นๆ เพื่อที่มันจะได้เคลือนไหวได้สะดวก และสามารถจับปลาได้ง่าย
เมื่อมันต้อนปลาให้เข้าไปสู่พื้นที่ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปของมันคือ การกวนน้ำโดยจะทำวนไปวนมา เพื่อให้ปลาเวียนหัว และอ่อนแรงลง จากนั้นก็คอยโอกาศที่เหมาะสม ลงมือจับปลา ด้วย อุงมือที่ใหญ่และเล็บที่แหลมคม สุดท้ายมันก็ได้ริ้มรสอาหารอันโอชะ : จากกรณีศึกษา ของ หมี กริชลี่ เราจะพบว่า ความสำเร็จในการจับปลาของมัน ไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มันมีวิธีการคิดที่เป็นขั้นเป็นตอน และผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ไม่ได้ทำเพียงครั้งเดียว มันต้องใช้ทั้งความรู้ ความอดทน และ การศึกษาทำความเข้าใจ และ ทดลองทำซ้ำๆ จนได้วิธีการ ที่เหมาะสม ในการจะจับปลาให้ได้แต่ละตัว เป็นเรื่องยากสำหรับหมีตัวโต แต่ถ้ามันทำได้สำเร็จ นั่นหมายถึง การมีชีวิตรอด ซึ่งบางครั้ง เจ้าหมีเอง ก็ไม่ได้จับปลาได้ทุกครั้งเสมอไป มันมีวัน ที่พลาด และมีวันที่สมหวัง
: ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตของคนเรา ทุกวันนี้เรามุ่งเน้นค้นหา แต่วิธีการสร้างความสำเร็จ แต่ไม่ได้ศึกษาทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ความสำเร็จ มันคือะไร การได้วิธีการมา โดยไม่มีความเข้าใจในเรื่องที่ทำ ก็เหมือนกับมีหนทาง แต่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง ความสำเร็จจึงดูห่างออกไปทุกที่ สิ่งที่เราควรจะทำอันดับแรก คือ การเข้าใจตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราต้องการความสำเร็จแบบไหน ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง หรือ ความสุข จากนั้นก็วางเป้าหมายของชีวิต ให้ชัดเจน เช่น มีเงิน 100 ล้าน หรือ เป็น เศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย แล้วจึงค่อยไปหาวิธีการ เป็นอันดับต่อไป
: หากเรามีพื้นฐานความเข้าใจในสิ่งทีทำอย่างลึกซึ้งแล้ว สมองจะสั่งให้เราหาวิธีการ ไปสู่จุดหมายนั้นขึ้นมาเอง การไม่ให้ปลา คือ การทำความเข้าใจ การให้เบ็ดกับวิธีการตกปลา คือ วิธีการ และในวิธีการ ก็ต้องทำความเข้าใจ อีกที่ ว่า เบ็ดมันทำงานยังไง ปลาจะกินเบ็ดแบบไหน ซึ่ง ทั้งความ เข้าใจ และ วิธีการ จะต้องทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ในการที่เราจะไปให้ถึง ความสำเร็จ ที่วาดเอาไว้ ให้ได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทำเป็นอันดับแรก......
: ก็คือ "การทำความเข้าใจในสิ่งที่ทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยใช้ วิธีการ เข้ามาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย"
: หวังว่าส่ิงที่ผมนำมาแบ่งปันในบทความนี้ คงจะพอเป็นแนวทาง ให้กับหลายคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีิวิต ได้บ้างไม่มากก็น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความเพียรพยามยาม ในเส้นทางของแต่ละคน และผมอยากจะบอกว่า เส้นทางแห่งความสำเร็จ ไม่ใช่อะไรที่ ลอกเลียนแบบได้ การทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ บางที่อาจไม่ทำให้เราประสบความสำเร็จเหมือนกับเขา เพราะแต่ละคนย่อมมีวิธีการที่ต่างกัน ดังนั้นเราไม่ควรที่จะนำวิธีของเขามาทำทั้งหมดควรเลือกเป็นบางวิธีแล้วนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตของเรา จะดีกว่า และคุณสมบัติข้อหนึ่ง สำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จทุกคนจะต้องมี คือ อดทนต่ออุปสรรค์ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ดังที่ พระพุทธองค์ ได้ทรงตรัสสั่งสอนเราไว้ว่า
"วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะล่วงทุกข์ ได้เพราะความเพียร "
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560
วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560
10 คุณค่าที่ควรสร้างเพื่อไปสู่ความมั่งคั่ง
จากบทความ สูตรลับความมั่งคั่งที่ใครๆก็ทำได้ ที่ผมได้เล่าเอาไว้ว่า คนเราแต่ละคนย่อมมีสิ่งที่ตัวเองถนัดและสามารถทำได้ดีที่ต่างกัน เราควรที่จะมองหาจุดเด่นของตัวเองนำไปพัฒนาต่อยอด แล้วเริ่มสร้างคุณค่าจากสิ่งที่ตัวเองมี เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งของชีวิต
*
ในบทความนี้ ผมจะมาเล่าถึงวิธีการสร้าง คุณค่า 10 ประการ ที่ตัวเราจะต้องมี หากต้องการพาตัวเองไปสู่ความมั่งคั่งของชีิวิตให้ได้ โดยคุณค่าทั้ง 10 ประการนี้จะแบ่งเป็นคู่ได้ 5 คู่ ซึ่งตัวเราจะต้องเริ่มพัฒนาคุณค่าที่ตัวเรามีไปทีละขั้นตอน และจะต้องอยู่ในกรอบของความสามารถตัวเรามี ตามประเภทของคนในแบบของ Wealth dynamic
*
คุณค่า 10 ประการสู่ความมั่งคั่ง
*
คู่ที่ 1 คุณค่าภายใน ที่ 1 และ 2
ความปราถนาอันแรงกล้าและความสามารถ
+ความปราถนา อันแรงกล้า จะเป็นจุดเริ่มต้น ของการสร้างคุณค่า คุณต้องคิดทบทวนตัวเองให้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่คุณปราถนาจริงๆในชีวิตเช่น ความสุขสบาย ครอบครัว เงินทอง หรือ สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งนั้นจะเป็นเหมือนไฟส่องนำทางในชีวิตของคุณ
+ความสามารถ หากคุณได้รู้ตัวตนของคุณแล้วจาก โปรไฟล์ทั้ง 8 ของ Wealth dynamic คุณก็จะมองเห็นความสามารถที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ จงพัฒนาสิ่งที่คุณถนัดไปถึงจุดสูงสุดให้ได้
*
คู่ที่ 2 คุณค่าภายใน ที่ 3 และ 4
ความรู้และการรู้จักผู้คน
+ความรู้ คือต้นทุนทางชีวิตที่ดีที่สุดของมนุษย์ ย่ิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเข้าใกล้ความมั่งคั่งมากเท่านั้น แต่คุณต้องไม่ให้ความรู้ที่มีนั้นเดินสวนทางกับแรงปราถนาของตัวเอง พยายามให้ 2 ส่ิ่งนี้เดินไปด้วยกันให้ได้ เพื่อไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
+การรู้จักผู้คน การสร้างเครือข่าย คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเครือข่ายที่คุณมีจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดความมั่งคั่ง
*
คู่ที่ 3 คุณค่าภายใน ที่ 5 และ 6
อุปนิสัย และ เหตุผลในการดำรงชีวิต
+อุปนิสัย คือภาพที่จะสะท้อนตัวตนของคุณออกไปให้โลกได้รับรู้ คุณจำเป้นต้องมีอุปนิสัยที่เป็นภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อดึงดูดผู้คน และโอกาศที่จะสร้างความมั่งคั่งเข้ามา
+เหตุผลในการดำรงชีวิต คือตัวชี้วัดคุณค่าภายในตัวที่คุณมี และส่งมอบออกมาให้กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จาก 1 ใน 6 ข้อที่กล่าวมา เราจะไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นมาได้ถ้าหากเราปราศจาก เหตุผลในการดำเนินชีวิตของเรา
*
คุณค่า ภายนอก
*คุณค่าที่ 8 และ 9
คุณค่าจากการขายปลีก
+เติมเต็มความจำเป็น มุ่งเน้นในการมอบสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ที่พักอาศัย ยารักษาโรค
การศึกษา การมอบคุณค่าในส่ิงเหล่ามีต้องมีราคาที่ต่ำ ทุกคนเข้าถึงได้ และต้องผลิตในจำนวนที่มาก
+เติมเต็มความอยาก คือ การมุ่งเน้นสร้างความพึงพอใจ มากกว่าความจำเป็น ซึ่งปัจจัยเรื่องราคาไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจ ผู้คนจะยอมจ่ายเงินของเขา เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกว่าเขาคู่ควรกับสิ่งนั้น คุณค่าที่เราจะมอบให้กับคนในกลุ่มนี้ ต้องเป็นอะไรที่มีความเฉพาะตัว แตกต่าง
*
คุณค่าที่ 9 และ 10
คุณค่าของการขายส่ง
+คุณค่าจากการเป็นองค์ประกอบ พยายามมองหาส่วนที่เพิ่มเติมจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ซอฟแวร์ของ ไมโครซอฟฟ์ การขาย แฟรนไซส์ ของ แม่คโดนัลด์ ซึ่ง คนที่เป็นเจ้าของแฟรนไซส์แมคโดนัลด์ ไม่ใช้ผู้ที่สร้างร้านแมคโดนัลด์ขึ้นมา แต่เป็น คนที่มองเห็นโอกาศของแมคโดนัลด์ ร้านมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์คือพื้นที่ มากกว่าการขาย เบอร์เกอร์
+คุณค่าจากการลงทุน จำเป็นต้องมีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การซื้อบ้าน คอนโด และการลงทุนในตลาดหุ้น ต้องมีการคาดคะเนที่ดี แม่นยำ
การสร้างคุณค่าทั้ง 5 คู่ สิ่งที่จำเป็นต้องสร้างก่อน คือ คุณค่าจากภายใน เมื่อเราได้มอบคุณค่าที่เรามีทั้งหมด ให้กับผู้คนแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ คุณค่าแห่งโอกาศที่มาจากภายนอก เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเราต่อไป เหมือนกับสายน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของการสร้างคุณค่าเพื่อนำไปสู่ความมั่นคั่งและยั่งยืน
*สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ* ก็คือว่า ให้เรานำคุณค่าที่มีในตัวเองตามที่เราถนัด ในแบบ โปรไฟล์ทั้ง 8 ของ
Wealth dynamic มาพัฒนาและส่งมอบให้กับผู้คน โดยยึด "เหตุผลของการดำรงชีวิต" ของเราเป็นหลัก
เมื่อเราส่งมอบคุณค่าของเราได้มากพอ แล้วเราก็จะได้รับ โอกาส และ หนทาง การสร้างความมั่งคั่ง จากภายนอกเข้ามานั่นเอง
ทุกสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเชื่อมโยงกัน น้ำก่อเกิดไม้ ไม้ก่อเกิดไฟ ไฟก่อเกิดดิน ดินก่อเกิดโลหะ เราทุกคนล้วนเป็นผลผลิดของธรรมชาติ และมีส่ิงที่เป็นคุณค่าติดตัวมาทุกคน หน้าที่ของเราคือต้องค้นหาสิ่งที่เรามีอยู่ในตัวให้เจอ แล้วพัฒนา ส่งมอบออกไปให้กับผู้คน แล้วความมั่งคั่งก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเราเอง
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
*
ในบทความนี้ ผมจะมาเล่าถึงวิธีการสร้าง คุณค่า 10 ประการ ที่ตัวเราจะต้องมี หากต้องการพาตัวเองไปสู่ความมั่งคั่งของชีิวิตให้ได้ โดยคุณค่าทั้ง 10 ประการนี้จะแบ่งเป็นคู่ได้ 5 คู่ ซึ่งตัวเราจะต้องเริ่มพัฒนาคุณค่าที่ตัวเรามีไปทีละขั้นตอน และจะต้องอยู่ในกรอบของความสามารถตัวเรามี ตามประเภทของคนในแบบของ Wealth dynamic
*
คุณค่า 10 ประการสู่ความมั่งคั่ง
*
คู่ที่ 1 คุณค่าภายใน ที่ 1 และ 2
ความปราถนาอันแรงกล้าและความสามารถ
+ความปราถนา อันแรงกล้า จะเป็นจุดเริ่มต้น ของการสร้างคุณค่า คุณต้องคิดทบทวนตัวเองให้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่คุณปราถนาจริงๆในชีวิตเช่น ความสุขสบาย ครอบครัว เงินทอง หรือ สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งนั้นจะเป็นเหมือนไฟส่องนำทางในชีวิตของคุณ
+ความสามารถ หากคุณได้รู้ตัวตนของคุณแล้วจาก โปรไฟล์ทั้ง 8 ของ Wealth dynamic คุณก็จะมองเห็นความสามารถที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ จงพัฒนาสิ่งที่คุณถนัดไปถึงจุดสูงสุดให้ได้
*
คู่ที่ 2 คุณค่าภายใน ที่ 3 และ 4
ความรู้และการรู้จักผู้คน
+ความรู้ คือต้นทุนทางชีวิตที่ดีที่สุดของมนุษย์ ย่ิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเข้าใกล้ความมั่งคั่งมากเท่านั้น แต่คุณต้องไม่ให้ความรู้ที่มีนั้นเดินสวนทางกับแรงปราถนาของตัวเอง พยายามให้ 2 ส่ิ่งนี้เดินไปด้วยกันให้ได้ เพื่อไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
+การรู้จักผู้คน การสร้างเครือข่าย คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเครือข่ายที่คุณมีจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดความมั่งคั่ง
*
คู่ที่ 3 คุณค่าภายใน ที่ 5 และ 6
อุปนิสัย และ เหตุผลในการดำรงชีวิต
+อุปนิสัย คือภาพที่จะสะท้อนตัวตนของคุณออกไปให้โลกได้รับรู้ คุณจำเป้นต้องมีอุปนิสัยที่เป็นภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อดึงดูดผู้คน และโอกาศที่จะสร้างความมั่งคั่งเข้ามา
+เหตุผลในการดำรงชีวิต คือตัวชี้วัดคุณค่าภายในตัวที่คุณมี และส่งมอบออกมาให้กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จาก 1 ใน 6 ข้อที่กล่าวมา เราจะไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นมาได้ถ้าหากเราปราศจาก เหตุผลในการดำเนินชีวิตของเรา
*
คุณค่า ภายนอก
*คุณค่าที่ 8 และ 9
คุณค่าจากการขายปลีก
+เติมเต็มความจำเป็น มุ่งเน้นในการมอบสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาหาร ที่พักอาศัย ยารักษาโรค
การศึกษา การมอบคุณค่าในส่ิงเหล่ามีต้องมีราคาที่ต่ำ ทุกคนเข้าถึงได้ และต้องผลิตในจำนวนที่มาก
+เติมเต็มความอยาก คือ การมุ่งเน้นสร้างความพึงพอใจ มากกว่าความจำเป็น ซึ่งปัจจัยเรื่องราคาไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจ ผู้คนจะยอมจ่ายเงินของเขา เพื่อทำให้ตนเองรู้สึกว่าเขาคู่ควรกับสิ่งนั้น คุณค่าที่เราจะมอบให้กับคนในกลุ่มนี้ ต้องเป็นอะไรที่มีความเฉพาะตัว แตกต่าง
*
คุณค่าที่ 9 และ 10
คุณค่าของการขายส่ง
+คุณค่าจากการเป็นองค์ประกอบ พยายามมองหาส่วนที่เพิ่มเติมจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ซอฟแวร์ของ ไมโครซอฟฟ์ การขาย แฟรนไซส์ ของ แม่คโดนัลด์ ซึ่ง คนที่เป็นเจ้าของแฟรนไซส์แมคโดนัลด์ ไม่ใช้ผู้ที่สร้างร้านแมคโดนัลด์ขึ้นมา แต่เป็น คนที่มองเห็นโอกาศของแมคโดนัลด์ ร้านมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์คือพื้นที่ มากกว่าการขาย เบอร์เกอร์
+คุณค่าจากการลงทุน จำเป็นต้องมีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การซื้อบ้าน คอนโด และการลงทุนในตลาดหุ้น ต้องมีการคาดคะเนที่ดี แม่นยำ
การสร้างคุณค่าทั้ง 5 คู่ สิ่งที่จำเป็นต้องสร้างก่อน คือ คุณค่าจากภายใน เมื่อเราได้มอบคุณค่าที่เรามีทั้งหมด ให้กับผู้คนแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือ คุณค่าแห่งโอกาศที่มาจากภายนอก เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเราต่อไป เหมือนกับสายน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของการสร้างคุณค่าเพื่อนำไปสู่ความมั่นคั่งและยั่งยืน
*สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ* ก็คือว่า ให้เรานำคุณค่าที่มีในตัวเองตามที่เราถนัด ในแบบ โปรไฟล์ทั้ง 8 ของ
Wealth dynamic มาพัฒนาและส่งมอบให้กับผู้คน โดยยึด "เหตุผลของการดำรงชีวิต" ของเราเป็นหลัก
เมื่อเราส่งมอบคุณค่าของเราได้มากพอ แล้วเราก็จะได้รับ โอกาส และ หนทาง การสร้างความมั่งคั่ง จากภายนอกเข้ามานั่นเอง
ทุกสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเชื่อมโยงกัน น้ำก่อเกิดไม้ ไม้ก่อเกิดไฟ ไฟก่อเกิดดิน ดินก่อเกิดโลหะ เราทุกคนล้วนเป็นผลผลิดของธรรมชาติ และมีส่ิงที่เป็นคุณค่าติดตัวมาทุกคน หน้าที่ของเราคือต้องค้นหาสิ่งที่เรามีอยู่ในตัวให้เจอ แล้วพัฒนา ส่งมอบออกไปให้กับผู้คน แล้วความมั่งคั่งก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเราเอง
#Cap.rojer13
#ขอบคุณที่ติดตาม
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สูตรลับ ความมั่งคั่งที่ใครๆก็ทำได้
สวัสดีครับ นับเป็นเวลานานเหมือนกัน ที่ผมไม่ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาสมอง และการพัฒนาตัวเองเลย เพราะการที่จะสามารถทำอะไรในหลายๆอย่างไปพร้อมกันๆนั้นเป็นเรื่องยาก และควรหลีกเลี่ยง อย่างมาก มีกูรูด้านความสำเร็จหลายท่านเคยบอกเอาไว้ว่า หากจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ และได้ผลลัพท์ที่ดีนั้น เราจำเป็นจะต้องมี โฟกัสในสิ่งที่ทำ
ถ้าหากเราพูดถึงความสำเร็จ และ ความร่ำรวย ผมเชื่อว่า คงเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกนี้ปราถนา ใครก็อยากจะสำเร็จ อยากรวย แต่ถามว่าจริงๆแล้วมีคนที่สำเร็จ และร่ำรวย กี่คน ถ้าจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนบนโลก คนที่ประสบความสำเร็จ มีเพียง 10 % เท่านั้นซึ่งน้อยมาก หลายคนที่มีความฝัน ความหวัง จึงพยายามจะเสาะหาวิธีการต่างๆ เพื่อจะก้าวเข้าไปอยู่ในจำนวนของ 10% นั้น ผมเองก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกับอีกหลายคนที่อ่านบทความนี้ ที่พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะก้าวไปสู่ความสำเร็จและรำรวย ตามที่ใจตัวเองต้องการ แต่หลายอย่างที่ผมคิดว่ามันใช่และพยายามทำ มันไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ จนทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น จริงๆแล้ว มันใช้หรือเปล่า มันเป็นอย่างที่ตัวเรา
ต้องการจริงรึไม่
ผมจึงเริ่มกลับมาศึกษาเกี่ยวกับตัวเองเป็นอันดับแรก ด้วยการหาความรู้จากทั้งในอินเทอร์เน็ต และการอ่านหนังสือ เพราะก่อนที่เราจะทำอะไรเราต้องรู้ตัวเองก่อน ว่าเราชอบสิ่งไหน อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วเรามีความสุข จากการศึกษาเรื่องของตัวเอง ทำให้ผมได้มาพบกับ ศาสตร์ๆหนึ่งที่เรียกว่า
Wealth dynamic ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการค้นหาตัวเองและความถนัดของตัวเองเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่ง และ ร่ำรวย ก่อนที่ผมจะเล่าถึงเรื่องนี้ ผมขออธิบายคำว่า มั่งคั่ง กับ ร่ำรวย ก่อนเพราะ 2 คำนี้มีความต่างกันในอย่างชัดเจน ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจผิด
ความมั่งคั่ง นั้นหมายถึง สิ่งที่จะอยู่ไปกับเราไปตลอดอย่างไม่มีวันหมด เหมือนสายน้ำที่ไม่เคยเหือดแห้ง ยกตัวอย่างเช่น องค์ความรู้ และ ประสบการณ์ ถ้าเราลองศึกษาบุคคลที่ประสบความสำเร็จ บนโลกนี้ ทุกคนแทบจะเคยผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งสิน หลายคนถึงกับขาดทุนเป็นระดับ 1000 ล้านเหรียญ ย้ำนะครับ 1000 ล้านเหรียญ แต่ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงกลับมาร่ำรวยได้เหมือนเดิม อะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและแก้วิกฤติ กลับมาได้ เหตุผลเดียวที่พอจะตอบได้ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นมีความมั่งคั่งที่อยู่ในสายเลือด ที่จะนำมาใช้เมื่อไหรก็ย่อมทำได้ และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ความร่ำรวย การสร้างความร่ำรวย บางที่ก็ไม่ใช้สิ่งที่ยากเย็นอะไรนัก ถ้าหากคุณเป็นคนขยันและรู้จักเก็บออม คุณก็สามารถที่จะเป็นคนร่ำรวยได้ แต่การสร้างความร่ำรวยจำเป็นที่จะต้องใช้เวลา และถ้าหากวันใด คุณเจ็บป่วยไม่สบาย หรือ พลาดพลั้ง คุณก็อาจจะสูญเสียความร่ำรวยไปได้ด้วยง่าย ยกตัวอย่าง สามล้อที่ถูกรางวัลที่ 1 เขาอาจจะเป็นคนร่ำรวยได้ในพริบตา แต่การไม่มีความมั่งคั่งอยู่ในตัว ทำให้เขาสูญเงินไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็กลับมาปั่นสามล้อ เหมือนเดิม
จากทั้ง 2 ตัวอย่างคงพอจะมองออกนะครับว่า ความมั่งคั่ง กับ ความร่ำรวย ต่างกันยังไง ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการสร้างความมั่งคั่ง จากการเข้าใจตัวเองในแบบ Wealth dynamic ผมคงต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช้คนที่ประสบความเร็จอะไร และไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ สิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันก็ไม่ใช้เรื่องที่เกิดจากประสบการณ์ของผมโดยตรง แต่มันเป็นส่ิงที่ผมได้จากการศึกษาเรียนรู้และตกผลึกมาเป็นความคิด ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และสามารถที่จะช่วยให้ทุกคนได้ย่นระยะเวลาโดยไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านหนังสือ หรือศึกษาเพื่อทำความเข้าใจหลายรอบ ถ้าใคร ต้องการที่จะศึกษาแบบลึกซึ่งก็สามารถไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน หรือ หาตาม YOUTube ได้เลย หนังสือมีชื่อว่า "มั่งคั่งระดับตำนาน (Your Life Your Legacy) ของคุณ Roger Hamilton หรือ ช่องยูทูบImpact Entrepreneurs TV ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง
ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับ สูตรลับของความมั่งคั่ง เรามาเริ่มต้นเรียนรู้ ศาสตร์ที่เรียกว่า
Wealth dynamic ถ้าหากจะแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ วิชาที่ช่วยสร้าง พลังแห่งความมั่งคั่ง นั้นเอง อันนี้แปลตามความเข้าใจผมนะ
เรียนรู้พื้นฐานของ Wealth dynamic ซึ่งต่อไปผมขอเรียกย่อว่า WD
WD ได้แบ่งกลุ่มคนออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ตามความสามารถและความถนัดที่แต่ละคนมีติดตัวมาตั้ง
แต่เกิด
1.Dynamo คือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยพลังและการสร้างสรรค์ เรียกว่า กลุ่มผู้สร้าง
2.Blaze คือ กลุ่มคนที่เก่งในเรื่องของการสื่อสาร เรียกว่า กลุ่มนักสื่อสาร
3.Tempo คือ กลุ่มคนที่เก่งด้านการหาจังหวะและโอกาส ชอบติดตามงาน ชอบการบริการ เรียกว่า กลุ่มนักบริการ
4.Steel คือ กลุ่มคนที่เก่งทางด้านข้อมูลข่าวสาร เรียกว่า ผมกลุ่มนักบริหาร
ใน 4 กลุ่มหลักนี้ก็จะประกอบไปด้วย โปรไฟล์ย่อยๆ อีก 8 โปรไฟล์ด้วยกัน คือ
1.Creator นักสร้างสรรค์ เก่งเรื่องสร้างสิ่งใหม่ ชอบประดิษฐ์คิดค้น แต่ไม่เก่งเรื่องบริหาร
2.Star กลุ่มดารา เก่งเรื่องการเข้าสังคมและทำตัวให้เป็นจุดสนใจ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ
3.Supporter กลุ่มผู้สนับสนุน มีความเป็นผู้นำ ค่อยสนับสนุนให้คนอื่นประสบความสำเร็จ
4.Deal maker กลุ่มนักเจรจา เก่งเรืองการติดต่อ การต่อรอง กายขาย จุดเด่นคือการพูดโน้มน้าวใจได้ดี
5.Trader กลุ่มนักวิเคราะห์ข้อมูล เก่งเรื่องการจับจัวหวะ เวลา และ หาโอกาสได้ดี และเชี่ยวชาญการลงทุน
6.Accumulator กลุ่มนักสะสม ชอบเก็บสะสมข้อมูล สถิติต่างๆ มีความแม่นย่ำและละเอียด ชอบเรื่องบัญชี การเงิน
7.Lord นักแปรสินทรัพย์ มีความถนัดในการประเมินค่าของทรัพย์สิน สามารถทำกำไรได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด
8.Mechanic กลุ่มนักบริหาร ชอบจัดการ ดัดแปลง เปลี่ยนสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชอบพัฒนาเกี่ยวกับระบบการทำงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
จากข้างต้นเราจะเห็นว่า บุคคลในแต่ละกลุ่มนั้นมีความถนัดที่แตกต่างกัน ก็ลองไปวิเคราะห์ตัวเองดุนะครับว่า เราอยู่ในกลุ่มไหน ซึ่งถ้าอยากจะประสบความสำเร็จแบบมั่งคั่ง เราจำเป็นที่จะต้องมีทีมงาน ที่เอื้อประโยชน์และค่อยสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ คอยเติมในส่วนที่เราขาด นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับ จะนำไปสู่ความสำเร็จแบบมั่งคั่งได้ ซึ่งผมจะไม่อธิบายไปมากกว่านี้นะครับ แค่นี้ก็ไม่รุ้ว่าจะละเมิดลิขสิทธิ์ของเขารึเปล่า แต่เพราะผมเห็นว่าเป็นประโยชน์เลยไม่ยากเก็บไว้คนเดียวอยากเอามาแบ่งปันสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาบ้าง และไม่ได้จงใจที่จะใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในทางพานิชย์แต่อย่างใดคิดว่าคงเข้าใจนะครับ
มาต่อกันด้วย สูตรลับ ที่ไม่ลับ ในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองบ้าง ในเรื่องนี้จะพูดเกี่ยวกับตัวเองล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยนะครับ สูตรลับที่ผมว่านี้อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้และเข้าใจตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหนแล้ว สิ่งที่ผมจะบอกมันเป็นเรืื่องพื้นฐานมาก แต่ที่สำคัญเราจะสามารถทำตามที่คิดไว้ได้รึเปล่าเท่านั้นเอง
เคล็ดลับของการสร้างความมั่งคั่งแบบ Wealth dynamic มีดังนี้ครับ
1.หาตัวเองให้เจอ นี่คือเรื่องหนึ่งที่ทำได้ยากมากสำหรับบางคน ซึ่งบางที่ ผ่านไป 30-40 ปีก็ยังหาไม่เจอว่าตกลงตัวเองชอบและถนัดอะไรกันแน่ แต่พอหาเจอแล้วกลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ใครที่ยังไม่เจอตัวเองไปหาคำตอบได้ตามลิงค์นี้ครับ ทดสอบตัวเอง
2.พัฒนาในสิ่งที่ตัวเองถนัด ให้ไปสู่จุดสูงสุด ระดับผู้เชี่ยวชาญ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดในเรื่องของการพัฒนาตัวเอง มุ่งเน้นที่จะลบจุดด้อยมากกว่าไปพัฒนาจุดเด่นของตัวเองทำให้ต้องเสียเวลาในการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด จนสุดท้ายสิ่งที่ถนัดหมดค่าลงไป สิ่งที่ควรจะคิดเสียใหม่คือต้องพัฒนาจุดเด่นให้ยิ่งเด่นขึ้นไปเรื่อยๆ
3.มุ่งมั่นเดินตามเส้นทางของตัวเอง ด้วยการเน้นสร้างคุณค่าให้กับผู้คน ควบคุมไม่ให้ตัวเองของนอกเส้นทาง (FLOW)
4.สื่อสารออกไปให้โลกได้รับรู้ ในที่นี้ผมได้ไม่หมายถึงให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ถนัดนะครับอย่างเช่น คุณประดิษฐ์อะไรออกมาอย่างหนึ่งที่ดีมาก แต่คุณไม่ถนัดที่จะสื่อสารคุณก็ให้คนที่เขาในด้านนั้นมาช่วยคุณ
5.พยามยามสร้างความสัมพันธ์ให้ได้มากที่สุด เชื่อมโยงในสิ่งที่คุณเป็นให้เข้ากับคนอื่นๆให้ได้
นกไม่ขน คนไม่พวก บินไปได้ไม่สูง ฉันใดก็ฉันนั้นครับ มันเป็นสัจธรรม ตึกที่สูงที่สุดไม่สามารถสร้างได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ต่อให้คุณเก่งและรวยขนาดไหนก็สร้างไม่ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นมาช่วย ผมถือว่าข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุด สำหรับการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต
ทั้งหมดในบทความนี้คือสิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือ Your Life Your Legacy ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เท่าที่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้มา และได้นำมาเรียบเรียงตามความเข้าใจของผมใหม่ เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน สิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันนั้นมันไม่ได้การันตีว่า ถ้าทำตามแล้วจะต้องสำเร็จแล้วมั่งคั่ง มันแค่เพียงเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้สามารถไปสู่เส้นทางที่หวังไว้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง การศึกษาแต่ในตำราไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการลงมือทำ ทั้งสิ้น เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ที่เรารู้แน่ๆคือถ้าวันนี้เราได้ทำอะไร ย่อมเกิดผลแห่งการกระทำนั้นอย่างแน่นอน
สิ่งที่นักสร้างความสำเร็จทุกคนจำเป็นต้องมี คือระบบความคิดที่เป็นพลังในทางบวก ก่อนที่จะลงมือสร้างธุรกิจหรือสร้างความมั่งคง เราต้องปรับความคิดในหัวเราให้ได้ก่อนว่า เรากำลังจะทำไปเพื่ออะไร การได้เข้าใจในจุดประสงค์ตัวเองตั้งแต่แรก มันจะช่วยให้เราเดินไปได้อย่างถูกทาง ทุกวันนี้เราต่างเรียนรุ้ที่จะสร้างความสำเร็จ กันจากวิธีการ พยายามเลียนแบบคนนั้น เลียนแบบคนนี้ โดยที่เราเองไม่เคยรู้เลยว่า เราสามารถทำอะไรได้ พยามยามจะเป็นมันทุกอย่าง แต่หลังจากที่อ่านบทความนี้เสร็จผมคิดว่า ทุกคนจะได้เดินตามทางของตัวเอง และก้าวไปสู่จุดที่เรียกว่า ความมั่งคั่ง อย่างแท้จริง
พบกันที่ความมั่งคั่งนะครับ
ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13
ถ้าหากเราพูดถึงความสำเร็จ และ ความร่ำรวย ผมเชื่อว่า คงเป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกนี้ปราถนา ใครก็อยากจะสำเร็จ อยากรวย แต่ถามว่าจริงๆแล้วมีคนที่สำเร็จ และร่ำรวย กี่คน ถ้าจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนบนโลก คนที่ประสบความสำเร็จ มีเพียง 10 % เท่านั้นซึ่งน้อยมาก หลายคนที่มีความฝัน ความหวัง จึงพยายามจะเสาะหาวิธีการต่างๆ เพื่อจะก้าวเข้าไปอยู่ในจำนวนของ 10% นั้น ผมเองก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกับอีกหลายคนที่อ่านบทความนี้ ที่พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะก้าวไปสู่ความสำเร็จและรำรวย ตามที่ใจตัวเองต้องการ แต่หลายอย่างที่ผมคิดว่ามันใช่และพยายามทำ มันไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ จนทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนว่า สิ่งที่เราทำไปนั้น จริงๆแล้ว มันใช้หรือเปล่า มันเป็นอย่างที่ตัวเรา
ต้องการจริงรึไม่
ผมจึงเริ่มกลับมาศึกษาเกี่ยวกับตัวเองเป็นอันดับแรก ด้วยการหาความรู้จากทั้งในอินเทอร์เน็ต และการอ่านหนังสือ เพราะก่อนที่เราจะทำอะไรเราต้องรู้ตัวเองก่อน ว่าเราชอบสิ่งไหน อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วเรามีความสุข จากการศึกษาเรื่องของตัวเอง ทำให้ผมได้มาพบกับ ศาสตร์ๆหนึ่งที่เรียกว่า
Wealth dynamic ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการค้นหาตัวเองและความถนัดของตัวเองเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่ง และ ร่ำรวย ก่อนที่ผมจะเล่าถึงเรื่องนี้ ผมขออธิบายคำว่า มั่งคั่ง กับ ร่ำรวย ก่อนเพราะ 2 คำนี้มีความต่างกันในอย่างชัดเจน ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจผิด
ความมั่งคั่ง นั้นหมายถึง สิ่งที่จะอยู่ไปกับเราไปตลอดอย่างไม่มีวันหมด เหมือนสายน้ำที่ไม่เคยเหือดแห้ง ยกตัวอย่างเช่น องค์ความรู้ และ ประสบการณ์ ถ้าเราลองศึกษาบุคคลที่ประสบความสำเร็จ บนโลกนี้ ทุกคนแทบจะเคยผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งสิน หลายคนถึงกับขาดทุนเป็นระดับ 1000 ล้านเหรียญ ย้ำนะครับ 1000 ล้านเหรียญ แต่ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงกลับมาร่ำรวยได้เหมือนเดิม อะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและแก้วิกฤติ กลับมาได้ เหตุผลเดียวที่พอจะตอบได้ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นมีความมั่งคั่งที่อยู่ในสายเลือด ที่จะนำมาใช้เมื่อไหรก็ย่อมทำได้ และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ความร่ำรวย การสร้างความร่ำรวย บางที่ก็ไม่ใช้สิ่งที่ยากเย็นอะไรนัก ถ้าหากคุณเป็นคนขยันและรู้จักเก็บออม คุณก็สามารถที่จะเป็นคนร่ำรวยได้ แต่การสร้างความร่ำรวยจำเป็นที่จะต้องใช้เวลา และถ้าหากวันใด คุณเจ็บป่วยไม่สบาย หรือ พลาดพลั้ง คุณก็อาจจะสูญเสียความร่ำรวยไปได้ด้วยง่าย ยกตัวอย่าง สามล้อที่ถูกรางวัลที่ 1 เขาอาจจะเป็นคนร่ำรวยได้ในพริบตา แต่การไม่มีความมั่งคั่งอยู่ในตัว ทำให้เขาสูญเงินไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็กลับมาปั่นสามล้อ เหมือนเดิม
จากทั้ง 2 ตัวอย่างคงพอจะมองออกนะครับว่า ความมั่งคั่ง กับ ความร่ำรวย ต่างกันยังไง ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการสร้างความมั่งคั่ง จากการเข้าใจตัวเองในแบบ Wealth dynamic ผมคงต้องออกตัวก่อนว่า ผมไม่ใช้คนที่ประสบความเร็จอะไร และไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ สิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันก็ไม่ใช้เรื่องที่เกิดจากประสบการณ์ของผมโดยตรง แต่มันเป็นส่ิงที่ผมได้จากการศึกษาเรียนรู้และตกผลึกมาเป็นความคิด ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และสามารถที่จะช่วยให้ทุกคนได้ย่นระยะเวลาโดยไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านหนังสือ หรือศึกษาเพื่อทำความเข้าใจหลายรอบ ถ้าใคร ต้องการที่จะศึกษาแบบลึกซึ่งก็สามารถไปหาซื้อหนังสือมาอ่าน หรือ หาตาม YOUTube ได้เลย หนังสือมีชื่อว่า "มั่งคั่งระดับตำนาน (Your Life Your Legacy) ของคุณ Roger Hamilton หรือ ช่องยูทูบImpact Entrepreneurs TV ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง
ก่อนที่เราจะไปเรียนรู้เกี่ยวกับ สูตรลับของความมั่งคั่ง เรามาเริ่มต้นเรียนรู้ ศาสตร์ที่เรียกว่า
Wealth dynamic ถ้าหากจะแปลให้เข้าใจง่ายก็คือ วิชาที่ช่วยสร้าง พลังแห่งความมั่งคั่ง นั้นเอง อันนี้แปลตามความเข้าใจผมนะ
เรียนรู้พื้นฐานของ Wealth dynamic ซึ่งต่อไปผมขอเรียกย่อว่า WD
WD ได้แบ่งกลุ่มคนออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ตามความสามารถและความถนัดที่แต่ละคนมีติดตัวมาตั้ง
แต่เกิด
1.Dynamo คือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยพลังและการสร้างสรรค์ เรียกว่า กลุ่มผู้สร้าง
2.Blaze คือ กลุ่มคนที่เก่งในเรื่องของการสื่อสาร เรียกว่า กลุ่มนักสื่อสาร
3.Tempo คือ กลุ่มคนที่เก่งด้านการหาจังหวะและโอกาส ชอบติดตามงาน ชอบการบริการ เรียกว่า กลุ่มนักบริการ
4.Steel คือ กลุ่มคนที่เก่งทางด้านข้อมูลข่าวสาร เรียกว่า ผมกลุ่มนักบริหาร
ใน 4 กลุ่มหลักนี้ก็จะประกอบไปด้วย โปรไฟล์ย่อยๆ อีก 8 โปรไฟล์ด้วยกัน คือ
1.Creator นักสร้างสรรค์ เก่งเรื่องสร้างสิ่งใหม่ ชอบประดิษฐ์คิดค้น แต่ไม่เก่งเรื่องบริหาร
2.Star กลุ่มดารา เก่งเรื่องการเข้าสังคมและทำตัวให้เป็นจุดสนใจ สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ
3.Supporter กลุ่มผู้สนับสนุน มีความเป็นผู้นำ ค่อยสนับสนุนให้คนอื่นประสบความสำเร็จ
4.Deal maker กลุ่มนักเจรจา เก่งเรืองการติดต่อ การต่อรอง กายขาย จุดเด่นคือการพูดโน้มน้าวใจได้ดี
5.Trader กลุ่มนักวิเคราะห์ข้อมูล เก่งเรื่องการจับจัวหวะ เวลา และ หาโอกาสได้ดี และเชี่ยวชาญการลงทุน
6.Accumulator กลุ่มนักสะสม ชอบเก็บสะสมข้อมูล สถิติต่างๆ มีความแม่นย่ำและละเอียด ชอบเรื่องบัญชี การเงิน
7.Lord นักแปรสินทรัพย์ มีความถนัดในการประเมินค่าของทรัพย์สิน สามารถทำกำไรได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด
8.Mechanic กลุ่มนักบริหาร ชอบจัดการ ดัดแปลง เปลี่ยนสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชอบพัฒนาเกี่ยวกับระบบการทำงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
จากข้างต้นเราจะเห็นว่า บุคคลในแต่ละกลุ่มนั้นมีความถนัดที่แตกต่างกัน ก็ลองไปวิเคราะห์ตัวเองดุนะครับว่า เราอยู่ในกลุ่มไหน ซึ่งถ้าอยากจะประสบความสำเร็จแบบมั่งคั่ง เราจำเป็นที่จะต้องมีทีมงาน ที่เอื้อประโยชน์และค่อยสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ คอยเติมในส่วนที่เราขาด นี่คือหนึ่งในเคล็ดลับ จะนำไปสู่ความสำเร็จแบบมั่งคั่งได้ ซึ่งผมจะไม่อธิบายไปมากกว่านี้นะครับ แค่นี้ก็ไม่รุ้ว่าจะละเมิดลิขสิทธิ์ของเขารึเปล่า แต่เพราะผมเห็นว่าเป็นประโยชน์เลยไม่ยากเก็บไว้คนเดียวอยากเอามาแบ่งปันสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาบ้าง และไม่ได้จงใจที่จะใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในทางพานิชย์แต่อย่างใดคิดว่าคงเข้าใจนะครับ
มาต่อกันด้วย สูตรลับ ที่ไม่ลับ ในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองบ้าง ในเรื่องนี้จะพูดเกี่ยวกับตัวเองล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นเลยนะครับ สูตรลับที่ผมว่านี้อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้และเข้าใจตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหนแล้ว สิ่งที่ผมจะบอกมันเป็นเรืื่องพื้นฐานมาก แต่ที่สำคัญเราจะสามารถทำตามที่คิดไว้ได้รึเปล่าเท่านั้นเอง
เคล็ดลับของการสร้างความมั่งคั่งแบบ Wealth dynamic มีดังนี้ครับ
1.หาตัวเองให้เจอ นี่คือเรื่องหนึ่งที่ทำได้ยากมากสำหรับบางคน ซึ่งบางที่ ผ่านไป 30-40 ปีก็ยังหาไม่เจอว่าตกลงตัวเองชอบและถนัดอะไรกันแน่ แต่พอหาเจอแล้วกลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ใครที่ยังไม่เจอตัวเองไปหาคำตอบได้ตามลิงค์นี้ครับ ทดสอบตัวเอง
2.พัฒนาในสิ่งที่ตัวเองถนัด ให้ไปสู่จุดสูงสุด ระดับผู้เชี่ยวชาญ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดในเรื่องของการพัฒนาตัวเอง มุ่งเน้นที่จะลบจุดด้อยมากกว่าไปพัฒนาจุดเด่นของตัวเองทำให้ต้องเสียเวลาในการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด จนสุดท้ายสิ่งที่ถนัดหมดค่าลงไป สิ่งที่ควรจะคิดเสียใหม่คือต้องพัฒนาจุดเด่นให้ยิ่งเด่นขึ้นไปเรื่อยๆ
3.มุ่งมั่นเดินตามเส้นทางของตัวเอง ด้วยการเน้นสร้างคุณค่าให้กับผู้คน ควบคุมไม่ให้ตัวเองของนอกเส้นทาง (FLOW)
4.สื่อสารออกไปให้โลกได้รับรู้ ในที่นี้ผมได้ไม่หมายถึงให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ถนัดนะครับอย่างเช่น คุณประดิษฐ์อะไรออกมาอย่างหนึ่งที่ดีมาก แต่คุณไม่ถนัดที่จะสื่อสารคุณก็ให้คนที่เขาในด้านนั้นมาช่วยคุณ
5.พยามยามสร้างความสัมพันธ์ให้ได้มากที่สุด เชื่อมโยงในสิ่งที่คุณเป็นให้เข้ากับคนอื่นๆให้ได้
นกไม่ขน คนไม่พวก บินไปได้ไม่สูง ฉันใดก็ฉันนั้นครับ มันเป็นสัจธรรม ตึกที่สูงที่สุดไม่สามารถสร้างได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ต่อให้คุณเก่งและรวยขนาดไหนก็สร้างไม่ได้ ถ้าไม่มีคนอื่นมาช่วย ผมถือว่าข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุด สำหรับการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต
ทั้งหมดในบทความนี้คือสิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือ Your Life Your Legacy ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด เท่าที่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้มา และได้นำมาเรียบเรียงตามความเข้าใจของผมใหม่ เพื่อให้ทุกคนที่ได้อ่านเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน สิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันนั้นมันไม่ได้การันตีว่า ถ้าทำตามแล้วจะต้องสำเร็จแล้วมั่งคั่ง มันแค่เพียงเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้สามารถไปสู่เส้นทางที่หวังไว้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง การศึกษาแต่ในตำราไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการลงมือทำ ทั้งสิ้น เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ที่เรารู้แน่ๆคือถ้าวันนี้เราได้ทำอะไร ย่อมเกิดผลแห่งการกระทำนั้นอย่างแน่นอน
สิ่งที่นักสร้างความสำเร็จทุกคนจำเป็นต้องมี คือระบบความคิดที่เป็นพลังในทางบวก ก่อนที่จะลงมือสร้างธุรกิจหรือสร้างความมั่งคง เราต้องปรับความคิดในหัวเราให้ได้ก่อนว่า เรากำลังจะทำไปเพื่ออะไร การได้เข้าใจในจุดประสงค์ตัวเองตั้งแต่แรก มันจะช่วยให้เราเดินไปได้อย่างถูกทาง ทุกวันนี้เราต่างเรียนรุ้ที่จะสร้างความสำเร็จ กันจากวิธีการ พยายามเลียนแบบคนนั้น เลียนแบบคนนี้ โดยที่เราเองไม่เคยรู้เลยว่า เราสามารถทำอะไรได้ พยามยามจะเป็นมันทุกอย่าง แต่หลังจากที่อ่านบทความนี้เสร็จผมคิดว่า ทุกคนจะได้เดินตามทางของตัวเอง และก้าวไปสู่จุดที่เรียกว่า ความมั่งคั่ง อย่างแท้จริง
พบกันที่ความมั่งคั่งนะครับ
ขอบคุณที่ติดตาม
#Cap.rojer13
วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560
ห้ามนั่งท้ายกระบะ ลดอุบัติเหตุได้จริงหรือ?
#โปรดอ่านให้จบ
สวัสดีครับ..ท่านผู้อ่านทุกคน สิ่งที่เป็นข้อถกเถียงกันใน สังคมบ้านเราช่วงก่อนสงกรานต์นี้ ก็คงจะไม่มีอะไรร้อนแรงมากไปกว่า ประเด็นการบังคับใช้ กฎหมายของรัฐบาล คสช. เรื่อง กฎหมายขนส่ง โดยเฉพาะประเด็นของ การห้าม รถกระบะ บรรทุกผู้โดยสาร ทั้งด้านหลัง กระบะ และ ภายในแคป ซึ่งมีผู้คนแสดงความคิดเห็นคัดค้านและออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมาก เพราะการบังคับใช้กฎหมายในครั้งนี้ส่งผลกระทบ โดยตรง กับผู้ที่ใช้รถกระบะเป็นพาหนะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนและต้องใช้รถกระบะในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้รถกระบะ เหตุผลที่เลือกรถกระบะ ก็เพราะว่า มันเป็นรถที่สามารถใช้งานได้หลากลาย ทั้งบรรทุกของ บรรทุกคน ไปไหนมาไหนได้ที่ละหลายคน ประหยัด ถ้าคุณเป็นคนที่มีรายได้น้อย การมีรถซักคันนั้นเป็นเรื่องยาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี โดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่ตามชนบท ไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี ห่างไกลโรงพยาบาล เวลาเจ็บไข้ ได้ป่วย หนักๆ ไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลเองได้ ก็ต้องอาศัย เจ้ารถกระบะนี่เหละ พากันไป หากคนที่อยู่ตามชนบทเหล่านี้จะซื้อรถมาใช้ประโยชน์ ถามว่า พวกเขาจะเลือกซื้อ รถแบบไหน รถเก๋ง ที่ใช้ประโยชน์ได้น้อย กับ รถกระบะที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ การจะมีรถทั้งที่เขาก็ต้องเลือกในสิ่งทีมันคุ้มค่า ใช้ประโยชน์ได้มาก และ ช่วยสร้างรายได้ให้ด้วยจริงมั้ย
ผมเองก็เช่นกัน ครอบครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ ทั้งของภรรยา และ ของผม รวมกัน มีอยุู่ 11 คน ที่บ้านมีรถอยู่ 2 คัน 1 คันเป็นรถกระบะเก่าๆ เอาไว้ใช้งานในสวนในไร่ ออกไปไหนไม่ได้ อีก 1 คัน ก็คือรถกระบะของผม ซึ่งเวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องไปกันเป็นครอบครัว อย่างน้อย ก็ 4 คน มีผม ภรรยา และลูกอีก 2 คน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถผมก็คิดตรึกตรองมาแล้วว่าจะซื้อรถทั้งที่จะเลือกแบบไหนดี ที่มันใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ก็ตกลงใจกับภรรยาว่า เอารถกระบะดีกว่าใช้ประโยชน์ได้เยอะดี จึงตัดสินใจซื้อด้วยการผ่อนชำระ นาน 5 ปีกว่าจะผ่อนหมด ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะผมเองก็เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ต้องบริหารจัดการจนสามารถผ่อนได้หมด เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
พอมาปีนี้ รัฐบาลประกาศบังคับใช้กฎหมายขนส่ง อย่างจริงจัง เรื่อง เข็มขัดนิรภัย เรื่องรถกระบะ ซึ่งเป็นกฎหมายเดิมที่มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2522 (ปีผมเกิดพอดี 38 ปี) โดยอ้างเหตุผล เรื่องความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งดูเหมือนจะดีถ้ามองในมุมของรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายฉบับนี้มันกลับสร้างผลกระทบ สร้างความเดือดร้อนให้กับ ประชาชน คนหาเช้ากินค่ำที่มีรายได้น้อย ที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง โดยตรง ซึ่งกว่าพวกเขาจะได้รถกระบะมาไว้ใช้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ สักคันหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย บางคนต้องเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มา แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะ จู่ๆ รัฐบาลก็มาประกาศบังคับ ห้ามไม่ให้ใช้ในแบบที่เคยใช้กันมานาน โดยที่ไม่ได้ปรึกษาหารือ หรือ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ที่จะได้รับ และรับฟังความเห็นของประชาชน เสียก่อน
หากต้องการลดอุบัติเหตุลง ผมว่ามันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ เช่น การจำกัดความเร็ว การเข้มงวด เรื่องการดื่มสุราของผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ในการทำให้เกิดอุบัติเหตุ การออกใบอนุญาตขับขี่ แบบเข้มงวด รายบุคคล ดูแล้วน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า ที่ผ่านมาสถิติคนที่ตกรถกระบะตาย โดยตรงแทบจะไม่มี ถ้าไม่ถุกเฉี่ยวชน ก็ คนขับประมาท ดังนั้น สาเหตุการเกิดอุบัติ การตาย หลักๆ แล้ว ก็คงไม่ได้มาจาก การนั่งท้ายกระบะหรือในแคป หากต้องการจะเปลี่ยนผมว่าเปลี่ยนที่ตัวกฎหมายน่าจะดีกว่า ให้มันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยที่เคยปฏิบัติกันมา เหมือนกับที่รัฐบาลเคยพูดไว้มาตลอดว่า "คนไทยต้องอยู่แบบไทย อย่าใช้วิถีชีวิตของชาติอื่นมาเป็นข้ออ้าง" คนไหนอยู่ไม่ได้ก็ให้ย้ายออกจากประเทศไป" สถานการณ์นี้ก็เช่นกัน รัฐบาลเองก็ควรจะปรับเปลี่ยนแก้ไขกฎหมายให้ตรงตามวิถีชีวิตของคนไทยด้วย และ ได้โปรดรับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีความเดือดร้อนด้วย อย่าใช้คำว่า ประเทศต่างๆ เขาก็ใช้กันแบบนี้ ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับการ "ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า" สุดท้าย ก็ตกมาใส่หน้าตัวเอง
ผมเชื่อว่า ประเทศไทย มีเรื่องที่ต้องแก้ไข อีกเยอะแยะมากมาย ที่ต้องให้ความสำคัญอันดับแรกเลย
ก็คือ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ น้ำ ไฟฟ้า ถนน ระบบขนส่งมวลชน รายได้ อาชีพ 2.คือปัญหา คอร์รัปชั่น การโกงกินต่างๆ 3.คือการมุ่งเน้นพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่ง บางอย่างอาจทำไปแล้วบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน ต้องพยายามให้มันเหตุผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ดีกว่า มานั่งไล่จับ ไล่ปรับ เอากับคนที่ไม่มีอันจะกินแบบนี้ มันจะพาลสร้างปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม มากกว่าจะมาแก้ปัญหาให้ลดลง
#โดยภาพรวมผมชื่นชม รัฐบาลชุดนี้นะครับ ที่เข้ามาแก้ปัญหาต่างๆในประเทศให้ดีขึ้น แต่สำหรับเรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมเองเป็นทั้งคนของรัฐ และ เป็นทั้ง ประชาชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปตามประสาคนชนบท และกำลังมีความเดือดร้อนในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ อยากให้รัฐช่วยมองลงมาถึงคนที่กำลังถูกผลกระทบ จากกฎหมาย อย่างพวกเราด้วย ไม่ใช้นึกอยากประกาศก็ประกาศ ให้มาสัมผัสกับความจริงเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป
#ขอบคุณที่รับฟัง
#Pairoj13
สวัสดีครับ..ท่านผู้อ่านทุกคน สิ่งที่เป็นข้อถกเถียงกันใน สังคมบ้านเราช่วงก่อนสงกรานต์นี้ ก็คงจะไม่มีอะไรร้อนแรงมากไปกว่า ประเด็นการบังคับใช้ กฎหมายของรัฐบาล คสช. เรื่อง กฎหมายขนส่ง โดยเฉพาะประเด็นของ การห้าม รถกระบะ บรรทุกผู้โดยสาร ทั้งด้านหลัง กระบะ และ ภายในแคป ซึ่งมีผู้คนแสดงความคิดเห็นคัดค้านและออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมาก เพราะการบังคับใช้กฎหมายในครั้งนี้ส่งผลกระทบ โดยตรง กับผู้ที่ใช้รถกระบะเป็นพาหนะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนและต้องใช้รถกระบะในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้รถกระบะ เหตุผลที่เลือกรถกระบะ ก็เพราะว่า มันเป็นรถที่สามารถใช้งานได้หลากลาย ทั้งบรรทุกของ บรรทุกคน ไปไหนมาไหนได้ที่ละหลายคน ประหยัด ถ้าคุณเป็นคนที่มีรายได้น้อย การมีรถซักคันนั้นเป็นเรื่องยาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี โดยเฉพาะกับคนที่อาศัยอยู่ตามชนบท ไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดี ห่างไกลโรงพยาบาล เวลาเจ็บไข้ ได้ป่วย หนักๆ ไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลเองได้ ก็ต้องอาศัย เจ้ารถกระบะนี่เหละ พากันไป หากคนที่อยู่ตามชนบทเหล่านี้จะซื้อรถมาใช้ประโยชน์ ถามว่า พวกเขาจะเลือกซื้อ รถแบบไหน รถเก๋ง ที่ใช้ประโยชน์ได้น้อย กับ รถกระบะที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ การจะมีรถทั้งที่เขาก็ต้องเลือกในสิ่งทีมันคุ้มค่า ใช้ประโยชน์ได้มาก และ ช่วยสร้างรายได้ให้ด้วยจริงมั้ย
ผมเองก็เช่นกัน ครอบครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ ทั้งของภรรยา และ ของผม รวมกัน มีอยุู่ 11 คน ที่บ้านมีรถอยู่ 2 คัน 1 คันเป็นรถกระบะเก่าๆ เอาไว้ใช้งานในสวนในไร่ ออกไปไหนไม่ได้ อีก 1 คัน ก็คือรถกระบะของผม ซึ่งเวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องไปกันเป็นครอบครัว อย่างน้อย ก็ 4 คน มีผม ภรรยา และลูกอีก 2 คน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถผมก็คิดตรึกตรองมาแล้วว่าจะซื้อรถทั้งที่จะเลือกแบบไหนดี ที่มันใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ก็ตกลงใจกับภรรยาว่า เอารถกระบะดีกว่าใช้ประโยชน์ได้เยอะดี จึงตัดสินใจซื้อด้วยการผ่อนชำระ นาน 5 ปีกว่าจะผ่อนหมด ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน เพราะผมเองก็เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ต้องบริหารจัดการจนสามารถผ่อนได้หมด เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
พอมาปีนี้ รัฐบาลประกาศบังคับใช้กฎหมายขนส่ง อย่างจริงจัง เรื่อง เข็มขัดนิรภัย เรื่องรถกระบะ ซึ่งเป็นกฎหมายเดิมที่มีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2522 (ปีผมเกิดพอดี 38 ปี) โดยอ้างเหตุผล เรื่องความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งดูเหมือนจะดีถ้ามองในมุมของรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฎหมายฉบับนี้มันกลับสร้างผลกระทบ สร้างความเดือดร้อนให้กับ ประชาชน คนหาเช้ากินค่ำที่มีรายได้น้อย ที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง โดยตรง ซึ่งกว่าพวกเขาจะได้รถกระบะมาไว้ใช้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ สักคันหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย บางคนต้องเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะได้มา แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะ จู่ๆ รัฐบาลก็มาประกาศบังคับ ห้ามไม่ให้ใช้ในแบบที่เคยใช้กันมานาน โดยที่ไม่ได้ปรึกษาหารือ หรือ ศึกษาข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ที่จะได้รับ และรับฟังความเห็นของประชาชน เสียก่อน
หากต้องการลดอุบัติเหตุลง ผมว่ามันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ เช่น การจำกัดความเร็ว การเข้มงวด เรื่องการดื่มสุราของผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ในการทำให้เกิดอุบัติเหตุ การออกใบอนุญาตขับขี่ แบบเข้มงวด รายบุคคล ดูแล้วน่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า ที่ผ่านมาสถิติคนที่ตกรถกระบะตาย โดยตรงแทบจะไม่มี ถ้าไม่ถุกเฉี่ยวชน ก็ คนขับประมาท ดังนั้น สาเหตุการเกิดอุบัติ การตาย หลักๆ แล้ว ก็คงไม่ได้มาจาก การนั่งท้ายกระบะหรือในแคป หากต้องการจะเปลี่ยนผมว่าเปลี่ยนที่ตัวกฎหมายน่าจะดีกว่า ให้มันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยที่เคยปฏิบัติกันมา เหมือนกับที่รัฐบาลเคยพูดไว้มาตลอดว่า "คนไทยต้องอยู่แบบไทย อย่าใช้วิถีชีวิตของชาติอื่นมาเป็นข้ออ้าง" คนไหนอยู่ไม่ได้ก็ให้ย้ายออกจากประเทศไป" สถานการณ์นี้ก็เช่นกัน รัฐบาลเองก็ควรจะปรับเปลี่ยนแก้ไขกฎหมายให้ตรงตามวิถีชีวิตของคนไทยด้วย และ ได้โปรดรับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีความเดือดร้อนด้วย อย่าใช้คำว่า ประเทศต่างๆ เขาก็ใช้กันแบบนี้ ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับการ "ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า" สุดท้าย ก็ตกมาใส่หน้าตัวเอง
ผมเชื่อว่า ประเทศไทย มีเรื่องที่ต้องแก้ไข อีกเยอะแยะมากมาย ที่ต้องให้ความสำคัญอันดับแรกเลย
ก็คือ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ น้ำ ไฟฟ้า ถนน ระบบขนส่งมวลชน รายได้ อาชีพ 2.คือปัญหา คอร์รัปชั่น การโกงกินต่างๆ 3.คือการมุ่งเน้นพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่ง บางอย่างอาจทำไปแล้วบ้าง แต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน ต้องพยายามให้มันเหตุผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าเดิม ดีกว่า มานั่งไล่จับ ไล่ปรับ เอากับคนที่ไม่มีอันจะกินแบบนี้ มันจะพาลสร้างปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม มากกว่าจะมาแก้ปัญหาให้ลดลง
#โดยภาพรวมผมชื่นชม รัฐบาลชุดนี้นะครับ ที่เข้ามาแก้ปัญหาต่างๆในประเทศให้ดีขึ้น แต่สำหรับเรื่องนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมเองเป็นทั้งคนของรัฐ และ เป็นทั้ง ประชาชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปตามประสาคนชนบท และกำลังมีความเดือดร้อนในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ อยากให้รัฐช่วยมองลงมาถึงคนที่กำลังถูกผลกระทบ จากกฎหมาย อย่างพวกเราด้วย ไม่ใช้นึกอยากประกาศก็ประกาศ ให้มาสัมผัสกับความจริงเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป
#ขอบคุณที่รับฟัง
#Pairoj13
วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560
3 ขั้นตอนดาวน์โหลดเอกสาร ลงทะเบียนคนจนรอบ 2
ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้เปิดโอกาสให้ คนที่มีรายน้อยลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือ จากทางรัฐบาล ในรอบที่ 2 ซึ่งจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียน กันในห้วงตั้งแต่ วันที 3 เม.ย. - 15 พ.ค.60 นี้
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจ ผมจึงได้นำวิธีการและขั้นตอนในการลงทะเบียนมาแบ่งปัน ให้กับทุกคนได้ทราบ โดยการลงทะเบียนคนมีรายได้น้อย รอบที่ 2 นี้ มีวิธีการดำเนินการง่ายๆ เพียง 3 ขั้น ดังนี้
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจ ผมจึงได้นำวิธีการและขั้นตอนในการลงทะเบียนมาแบ่งปัน ให้กับทุกคนได้ทราบ โดยการลงทะเบียนคนมีรายได้น้อย รอบที่ 2 นี้ มีวิธีการดำเนินการง่ายๆ เพียง 3 ขั้น ดังนี้
1.การขอและดาวน์โหลดแบบฟอร์มลงทะเบียน
ผู้ลงทะเบียนในโครงการฯ สามารถขอแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกสาขา ธนาคารออมสินทุกสาขา ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา คลังจังหวัด ทุกจังหวัด และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครฯ ทุกเขต รวมทั้งสิ้น 3,669 หน่วยรับลงทะเบียน ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง www.mof.go.th , สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง www.fpo.go.th , อีเปย์เม้นท์ www.epayment.go.th และเว็บไซต์ของหน่วยรับลงทะเบียนทั้ง 5 หน่วยงานข้างต้น
2.การทำความเข้าใจและกรอกแบบฟอร์ม
ผู้ลงทะเบียนควรศึกษาแบบฟอร์มให้เข้าใจ และเตรียมเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต้องใช้ในการกรอกแบบฟอร์มให้พร้อม เช่น บัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เลขบัตรประจำตัวประชาชนของบิดา มารดา และบุตร สมุดทะเบียนบ้าน ทะเบียนผู้พิการ ทะเบียนเกษตรกร เลขที่บัญชีเงินฝาก นอกจากนี้ ต้องสำรวจว่าตนมีรายได้ เงินฝาก และหนี้สินเท่าใด เป็นต้น หลังจากนั้น ให้กรอกแบบฟอร์มให้ครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตามความเป็นจริง และผู้ลงทะเบียนควรตรวจสอบความถูกต้องก่อนลงนามรับรองความถูกต้องและยินยอมให้เปิดเผยและตรวจสอบ
3.การมาลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ
ผู้ลงทะเบียนต้องมาลงทะเบียนด้วยตัวเอง โดยการยื่นแบบฟอร์มที่กรอกครบถ้วนถูกต้องแล้วพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน และเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็น เพื่อยืนยันตัวตนและข้อมูลที่กรอกให้ทางราชการ ได้ทางหน่วยรับลงทะเบียน เช่น ธนาคาร ธกส. ธ.ออมสิน ธ.กรุงไทย หรือสำนักงานเขตที่เปิดรับลงทะเบียน รวมทั้งสิ้น 3,669 แห่งทัวประเทศ ในกรณี ผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางได้ ต้องมีใบมอบอำนาจมาแสดงในวันลงทะเบียน หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนเข้าระบบ หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้ว ผู้ลงทะเบียนต้องรับเอกสารหลักฐาน (ส่วนท้ายของแบบฟอร์ม) กลับไป เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
รู้แล้วรีบเตรียมตัวกันด่วนเลยนะครับเดี๋ยวจะพลาดโอกาสเอา ไม่มีชื่อไม่มีสิทธิ์ นะ
#ขอบคุณที่ติดตาม
#pairoj13
***ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า
วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560
วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560
หลักคิดในการสร้างธุรกิจ
สวัสดีครับ....ทุกท่าน บทความนี้ผมมีหลักคิดในการสร้างธุรกิจของตัวเองมาแบ่งปัน กันนะครับ มันเป็นหลักคิดที่ผมใช้เปรียบเทียบการทำธุรกิจ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าผมยังไม่ใช้คนที่ประสบความสำเร็จอะไรในการทำธุรกิจนะครับ ผมเองยังเป็นผู้เริ่มต้นเหมือนกัน อาจจะเหมือนกับหลายท่าน ที่ได้อ่านบทความนี้อยู่ ผมเคยได้ลองทำธุรกิจมาบ้างครับ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็น ธุรกิจเครือข่าย เพราะธุรกิจประเภทนี้ ลงทุนไม่สูง หรือ แทบไม่ต้องลงทุนเลย ความเสี่ยงก็ค่อนข้างต่ำ มันเหมาะกับคนที่ต้องการจะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแต่ไม่มีทุน คงจะมีหลายคนเกิดความสงสัยนะครับ ว่าผมยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร แล้วมาบอกคนอื่นเขาทำไม ก็อย่าพึ่งตั้งคำถามนะครับ ลองอ่านสิ่งที่ผมนำมาแบ่งปันก่อนว่ามีประโยชน์รึเปล่า หากมันไม่เกิดประโยชน์ กับท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ แต่ถ้ามันมีประโยชน์ก็ช่วยแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย เพราะสิ่งที่ผมนำมาให้นั้นได้จากประสบการณ์ที่ผมได้ลองทำธุรกิจมา ผมได้เก็บเกี่ยวเอาความรู้ หลักการ และวิธีการ มาได้พอสมควร บวกกับการที่ได้ศึกษาเรียนรู้จากสื่อต่างๆ เพิ่มเติม ลองผิดลองถูก ด้วยตัวเอง ก็พอจะมีความรู้อยู่พอสมควร สามารถที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่นได้
หลักการทำธุรกิจที่ผม จะเอามาแบ่งปันนั้น เรียกว่า เป็นการสรุปแก่นของธุรกิจจริงๆ ตามความคิดผม
ซึ่งผมจะเปรียบเทียบ ให้เข้าใจได้ง่าย ดังต่อไปนี้ครับ
"การทำธุรกิจ ก็เหมือน การทำกับข้าว นี่แหละครับ"
*ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำอาหาร เราก็จะต้องเตรียมของที่จะนำมาทำกันก่อน เปรียบเป็นการทำธุรกิจ ก็คือ เราต้องเริ่มต้นศึกษาหาความรู้ในธุรกิจที่เราต้องการจะทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งก่อน แล้วเริ่มวางแผน
*ขั้นตอนต่อไปของการทำอาหาร คือ การนำเอาวัตถุดิบมาประกอบกันตามวิธีการเป็นขั้นเป็นตอน ใส่อะไรก่อน ใส่อะไรที่หลัง เปรียบกับการ ทำธุรกิจ ก็คือ เริ่มลงมือทำธุรกิจ ตามแผนการที่เราเตรียมไว้
*เมื่อนำวัตถุดิบต่างๆ มาประกอบกันแล้ว เราก็ต้องใส่เครื่องปรุงลงไป แล้วก็ชิมอาหารว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ถ้ามันขาดหรือมันเกินอะไรไปเราก็ต้องหาวิธีแก้ไขให้รสชาติมันอร่อย การปรุงและชิมอาหาร ก็เปรียบได้ กับการใส่งบประมาณลงไปในธุรกิจ แล้วเริ่มต้นทำ เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งเราก็ต้องมาตรวจสอบว่า อะไรคือปัญหาในธุรกิจของเรา อะไรที่เราต้องปรับปรุง เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เมื่อเจอปัญหา เราก็ต้องมาแก้ไข โดยต้องเริ่มจากปัญหาที่สำคัญที่สุด และ เป็นปัญหา เร่งด่วนก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ เราจะไม่สามารถ คาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับธุรกิจของเราถ้าเราเอาแต่นั่งมโน ไม่ได้ลงมือทำมันจริงๆ
*เมื่อเราปรับปรุงแก้ไขรสชาติทุกอย่างได้ลงตัวแล้ว ผลลัพท์ที่ออกมา คือ อาหารจานนี้อร่อย ทุกคนชอบในรสชาติ ก็เหมือนกับธุรกิจของเราประสบความสำเร็จ นั่นเอง
คงจะพอเข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบายนะครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ลองไปทำอาหารกินเองดู ซึ่งอาจจะมีหลายคนที่ไม่เคยทำอาหาร เลยไม่เข้าใจวิธีการทำ ซื้อแต่แกงถุงมากิน หรือ ไปกินตามร้าน 555 ผมคิดว่าทุกธุรกิจมันไม่มีสูตรสำเร็จ ตายตัวหรอกครับ คนที่ได้ลงมือทำเท่านั้นถึงจะรู้วิธีการ ทุกอย่างมันต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน หากตัวเราไม่พัฒนา ต่อให้มีธุรกิจที่ดีขนาดไหน ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ อย่างที่ผมเคยลองๆทำมา
มีกูรูคนดังหลายๆท่านในโลกออนไลน์ ที่ได้ออกมาให้ความรู้ เรื่องการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและการพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปฟัง เข้าไปศึกษาที่ ท่านอาจารย์หลายท่านได้ให้ความรู้ไว้ ตามสื่อต่างๆ Facebook ,Youtube ก็พอจะสรุปวิธีการหาธุรกิจที่ใช้ สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้น
ยังไง ดังนี้ครับ
1.คนหาตัวเองให้เจอก่อน = เราต้องรู้ว่า เรารัก หรือ ชอบอะไร หรือ ถนัดอะไร ก่อน วิธีการก็คือว่า ลองค้นหาและตั้งคำถาม กับตัวเอง ดูว่า ทำอะไรแล้วมีความสุข สามารถอยู่กับสิ่งนั้น ได้นานๆ โดยไม่เบื่อ และคุณมีความถนัดในเรื่องนั้นๆ
**ตย. ผมเป็นคนชอบฟุตบอล เวลา ผมได้อยู่กับเรื่องราวที่เกี่ยวกับฟุตบอล ผมจะอยุ่กับมันได้นานเป็นวันๆ อาจจะมีเบื่อบ้างบางครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาดูมันเหมือนเดิม อะไรประมาณนี้
2.เมื่อคุณเจอในสิ่งที่คุณรักแล้ว คุณต้องพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด ให้เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ
**ตย. ผมเป็นคนที่ชอบคิดชอบวิจารณ์ฟุตบอล และมักจะเอาความคิดของตัวเองไปพูดให้คนอื่นฟัง แต่บ้างครั้งสิ่งที่ผมพูด เขาก็อาจจะไม่ชอบหรือไม่พอใจ ผมจึงนำมันมาเขียนในบล็อก เพื่อเป็นการระบายความคิดของผมออก เผื่อมีคนอื่นที่มีความเห็นตรงกันเขาอยากอ่าน โดยสมัครใจ และผมก็ไม่ได้ไปยัดเยียดให้ใคร เมื่อผมคิดได้ว่าผมจะต้องเขียนมันออกมา แต่ผมไม่มีทักษะเรื่องการ ทำเว็ป การเขียนบล็อก ผมจะต้องทำยังไง ผมก็เลยศึกษาหาความรู้ ด้านการทำบล็อกและการเขียน ด้วยการศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ ด้วยการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น เพื่อศึกษาสำนวนข้อความต่างๆ ที่นักเขียนเขาใช้ อย่างนี้เป็นต้นครับ
3.เริ่มสร้างคุณค่าให้ผู้คน โดยใช้ความถนัดที่ตัวเองมี เช่น เปิดเพจสอนทำอาหาร ทำขนม เป็นต้น
4.นำสิ่งที่ รักและถนัด มาเปลี่ยนเป็นเงิน อธิบายก่อน รัก และ ถนัด มีความต่างกันอยู่นะครับ บางอย่างเราอาจมีความรักแต่ไม่ถนัดที่จะทำ บางอย่างเรามีความถนัดแต่ไม่ได้รักมันก็มี แต่ถ้าเราสามารถนำเอาทั้งสองอย่างมารวมกันได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ เห็นได้จาก ตย.คนที่ประสบความสำเร็จหลายคน เขาทำในสิ่งที่ถนัดจนกลายเป็นความรักในที่สุด ไปศึกษาต่อดูได้ตาม YouTube ครับ เมื่อเริ่มมีคนติดตามก็สามารถ เปิดครอสสอน หรือ ทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาขาย
"อธิบายเพิ่มเติ่ม"
**เปลี่ยนเป็นเงินยังไง ยุคนี้เรียกว่าเป็นยุคที่เงินหาได้ง่ายมากๆ ครับเพียงแต่เราต้องรู้วิธีการเอามันมาใส่กระเป๋าเรา ยิ่งผมได้ศึกษาเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รู้ว่า มันมีเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเงิน อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ เงินมันลอยอยู่ในอากาศและมันจะวิ่งเข้ามาคนที่มี ทักษะ หรือ ความถนัดเฉพาะครับ ถ้าลองสังเกตุ ใน Facebook คุณจะเห็นอาชีพหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังเป็นที่นิยม ในต้อนนี้ครับ มันคือ อาชีพเป็นโค้ช เปิดครอส สอนออนไลน์ จะเห็น คุณครู หลายท่าน ออกมา Live สอนกัน จนบางทีผมก็งง ไม่รู้จะฟังคนไหนดี เพราะครู เยอะจริงๆครับ ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นครูได้หมด ครับตอนนี้ ขอให้คุณมีทักษะและความเชี่ยวชาญในเรื่องที่คนมีปัญหาเถอะ รับรองขายได้
**ตย.ใช้ความถนัดเปลี่ยนเป็นเงิน
1.โค้ชสอนเรื่องต่างๆ เช่น สอนการตลาดออนไลน์ ,การทำอาหาร ,การเย็บปัก
2.งานรับจ้างอิสระ (ฟรีแลนซ์) เช่น ถ่ายภาพ ,เขียนบทความ,ทำกราฟฟิค ดีไซด์
3.เปิดเพจ เฟกบุ๊ค แก้ปัญหาให้คนอื่น ถ้าเพจมีคนติดตามเยอะ สามารถมีรายได้จากค่าโฆษณา จากคนที่เขามาจ้างคุณได้
4.เมื่อมีคนรู้จัก ก็สามารถต่อยอดไปทำธุรกิจอื่นได้
5.ลงทุนทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เช่น ขายของออนไลน์ ,ขายเครื่องสำอาง เสื้อผ้า หรือ ทำขนม ทำอาหาร ขายออนไลน์
6.ต่อยอดจากความรักความถนัด มาเป็นธุรกิจ 100 ล้าน, พันล้าน
ทุกขั้นตอนที่ผมกล่าวมา สำคัญที่สุด คือ คุณต้องกล้า ที่จะลงมือทำ อาจจะล้มบ้าง เจ็บบ้าง ไม่เป็นไร แต่ขอให้เริ่มต้นทำ ออกจากโซนปล่อยภัยของตัวเองให้ได้ เราอาจจะก้าวช้ากว่าคนอื่น ก็ไม่เป็นไร ผมชื่อว่า ความสำเร็จมีจริง และ ผมก็เชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
ขณะที่คุณกำลังอ่านบทความของผมอยู่ในตอนนี้ ผมอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร แต่ผมมีความเชื่อเสมอว่า ผมจะต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อาจช้า 5 ปี 10 ปี ก็เป็นได้ แต่มันจะต้องสำเร็จ แล้วเราจะเจอกันเมื่อวันนั้นมาถึง พบกันที่ความสำเร็จนะครับทุกคน
"ขอให้ทุกคนมีความฝัน และพยายามทำความฝันให้มันเป็นความจริง นะครับ"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
หลักการทำธุรกิจที่ผม จะเอามาแบ่งปันนั้น เรียกว่า เป็นการสรุปแก่นของธุรกิจจริงๆ ตามความคิดผม
ซึ่งผมจะเปรียบเทียบ ให้เข้าใจได้ง่าย ดังต่อไปนี้ครับ
"การทำธุรกิจ ก็เหมือน การทำกับข้าว นี่แหละครับ"
*ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำอาหาร เราก็จะต้องเตรียมของที่จะนำมาทำกันก่อน เปรียบเป็นการทำธุรกิจ ก็คือ เราต้องเริ่มต้นศึกษาหาความรู้ในธุรกิจที่เราต้องการจะทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งก่อน แล้วเริ่มวางแผน
*ขั้นตอนต่อไปของการทำอาหาร คือ การนำเอาวัตถุดิบมาประกอบกันตามวิธีการเป็นขั้นเป็นตอน ใส่อะไรก่อน ใส่อะไรที่หลัง เปรียบกับการ ทำธุรกิจ ก็คือ เริ่มลงมือทำธุรกิจ ตามแผนการที่เราเตรียมไว้
*เมื่อนำวัตถุดิบต่างๆ มาประกอบกันแล้ว เราก็ต้องใส่เครื่องปรุงลงไป แล้วก็ชิมอาหารว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ถ้ามันขาดหรือมันเกินอะไรไปเราก็ต้องหาวิธีแก้ไขให้รสชาติมันอร่อย การปรุงและชิมอาหาร ก็เปรียบได้ กับการใส่งบประมาณลงไปในธุรกิจ แล้วเริ่มต้นทำ เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งเราก็ต้องมาตรวจสอบว่า อะไรคือปัญหาในธุรกิจของเรา อะไรที่เราต้องปรับปรุง เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เมื่อเจอปัญหา เราก็ต้องมาแก้ไข โดยต้องเริ่มจากปัญหาที่สำคัญที่สุด และ เป็นปัญหา เร่งด่วนก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ เราจะไม่สามารถ คาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับธุรกิจของเราถ้าเราเอาแต่นั่งมโน ไม่ได้ลงมือทำมันจริงๆ
*เมื่อเราปรับปรุงแก้ไขรสชาติทุกอย่างได้ลงตัวแล้ว ผลลัพท์ที่ออกมา คือ อาหารจานนี้อร่อย ทุกคนชอบในรสชาติ ก็เหมือนกับธุรกิจของเราประสบความสำเร็จ นั่นเอง
คงจะพอเข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบายนะครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ลองไปทำอาหารกินเองดู ซึ่งอาจจะมีหลายคนที่ไม่เคยทำอาหาร เลยไม่เข้าใจวิธีการทำ ซื้อแต่แกงถุงมากิน หรือ ไปกินตามร้าน 555 ผมคิดว่าทุกธุรกิจมันไม่มีสูตรสำเร็จ ตายตัวหรอกครับ คนที่ได้ลงมือทำเท่านั้นถึงจะรู้วิธีการ ทุกอย่างมันต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน หากตัวเราไม่พัฒนา ต่อให้มีธุรกิจที่ดีขนาดไหน ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ อย่างที่ผมเคยลองๆทำมา
มีกูรูคนดังหลายๆท่านในโลกออนไลน์ ที่ได้ออกมาให้ความรู้ เรื่องการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและการพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปฟัง เข้าไปศึกษาที่ ท่านอาจารย์หลายท่านได้ให้ความรู้ไว้ ตามสื่อต่างๆ Facebook ,Youtube ก็พอจะสรุปวิธีการหาธุรกิจที่ใช้ สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้น
ยังไง ดังนี้ครับ
1.คนหาตัวเองให้เจอก่อน = เราต้องรู้ว่า เรารัก หรือ ชอบอะไร หรือ ถนัดอะไร ก่อน วิธีการก็คือว่า ลองค้นหาและตั้งคำถาม กับตัวเอง ดูว่า ทำอะไรแล้วมีความสุข สามารถอยู่กับสิ่งนั้น ได้นานๆ โดยไม่เบื่อ และคุณมีความถนัดในเรื่องนั้นๆ
**ตย. ผมเป็นคนชอบฟุตบอล เวลา ผมได้อยู่กับเรื่องราวที่เกี่ยวกับฟุตบอล ผมจะอยุ่กับมันได้นานเป็นวันๆ อาจจะมีเบื่อบ้างบางครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาดูมันเหมือนเดิม อะไรประมาณนี้
2.เมื่อคุณเจอในสิ่งที่คุณรักแล้ว คุณต้องพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด ให้เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ
**ตย. ผมเป็นคนที่ชอบคิดชอบวิจารณ์ฟุตบอล และมักจะเอาความคิดของตัวเองไปพูดให้คนอื่นฟัง แต่บ้างครั้งสิ่งที่ผมพูด เขาก็อาจจะไม่ชอบหรือไม่พอใจ ผมจึงนำมันมาเขียนในบล็อก เพื่อเป็นการระบายความคิดของผมออก เผื่อมีคนอื่นที่มีความเห็นตรงกันเขาอยากอ่าน โดยสมัครใจ และผมก็ไม่ได้ไปยัดเยียดให้ใคร เมื่อผมคิดได้ว่าผมจะต้องเขียนมันออกมา แต่ผมไม่มีทักษะเรื่องการ ทำเว็ป การเขียนบล็อก ผมจะต้องทำยังไง ผมก็เลยศึกษาหาความรู้ ด้านการทำบล็อกและการเขียน ด้วยการศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ ด้วยการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น เพื่อศึกษาสำนวนข้อความต่างๆ ที่นักเขียนเขาใช้ อย่างนี้เป็นต้นครับ
3.เริ่มสร้างคุณค่าให้ผู้คน โดยใช้ความถนัดที่ตัวเองมี เช่น เปิดเพจสอนทำอาหาร ทำขนม เป็นต้น
4.นำสิ่งที่ รักและถนัด มาเปลี่ยนเป็นเงิน อธิบายก่อน รัก และ ถนัด มีความต่างกันอยู่นะครับ บางอย่างเราอาจมีความรักแต่ไม่ถนัดที่จะทำ บางอย่างเรามีความถนัดแต่ไม่ได้รักมันก็มี แต่ถ้าเราสามารถนำเอาทั้งสองอย่างมารวมกันได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ เห็นได้จาก ตย.คนที่ประสบความสำเร็จหลายคน เขาทำในสิ่งที่ถนัดจนกลายเป็นความรักในที่สุด ไปศึกษาต่อดูได้ตาม YouTube ครับ เมื่อเริ่มมีคนติดตามก็สามารถ เปิดครอสสอน หรือ ทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกมาขาย
"อธิบายเพิ่มเติ่ม"
**เปลี่ยนเป็นเงินยังไง ยุคนี้เรียกว่าเป็นยุคที่เงินหาได้ง่ายมากๆ ครับเพียงแต่เราต้องรู้วิธีการเอามันมาใส่กระเป๋าเรา ยิ่งผมได้ศึกษาเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รู้ว่า มันมีเรื่องราวเกี่ยวกับการทำเงิน อีกมากมายที่เรายังไม่รู้ เงินมันลอยอยู่ในอากาศและมันจะวิ่งเข้ามาคนที่มี ทักษะ หรือ ความถนัดเฉพาะครับ ถ้าลองสังเกตุ ใน Facebook คุณจะเห็นอาชีพหนึ่งเกิดขึ้นและกำลังเป็นที่นิยม ในต้อนนี้ครับ มันคือ อาชีพเป็นโค้ช เปิดครอส สอนออนไลน์ จะเห็น คุณครู หลายท่าน ออกมา Live สอนกัน จนบางทีผมก็งง ไม่รู้จะฟังคนไหนดี เพราะครู เยอะจริงๆครับ ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นครูได้หมด ครับตอนนี้ ขอให้คุณมีทักษะและความเชี่ยวชาญในเรื่องที่คนมีปัญหาเถอะ รับรองขายได้
**ตย.ใช้ความถนัดเปลี่ยนเป็นเงิน
1.โค้ชสอนเรื่องต่างๆ เช่น สอนการตลาดออนไลน์ ,การทำอาหาร ,การเย็บปัก
2.งานรับจ้างอิสระ (ฟรีแลนซ์) เช่น ถ่ายภาพ ,เขียนบทความ,ทำกราฟฟิค ดีไซด์
3.เปิดเพจ เฟกบุ๊ค แก้ปัญหาให้คนอื่น ถ้าเพจมีคนติดตามเยอะ สามารถมีรายได้จากค่าโฆษณา จากคนที่เขามาจ้างคุณได้
4.เมื่อมีคนรู้จัก ก็สามารถต่อยอดไปทำธุรกิจอื่นได้
5.ลงทุนทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เช่น ขายของออนไลน์ ,ขายเครื่องสำอาง เสื้อผ้า หรือ ทำขนม ทำอาหาร ขายออนไลน์
6.ต่อยอดจากความรักความถนัด มาเป็นธุรกิจ 100 ล้าน, พันล้าน
ทุกขั้นตอนที่ผมกล่าวมา สำคัญที่สุด คือ คุณต้องกล้า ที่จะลงมือทำ อาจจะล้มบ้าง เจ็บบ้าง ไม่เป็นไร แต่ขอให้เริ่มต้นทำ ออกจากโซนปล่อยภัยของตัวเองให้ได้ เราอาจจะก้าวช้ากว่าคนอื่น ก็ไม่เป็นไร ผมชื่อว่า ความสำเร็จมีจริง และ ผมก็เชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
ขณะที่คุณกำลังอ่านบทความของผมอยู่ในตอนนี้ ผมอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จอะไร แต่ผมมีความเชื่อเสมอว่า ผมจะต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อาจช้า 5 ปี 10 ปี ก็เป็นได้ แต่มันจะต้องสำเร็จ แล้วเราจะเจอกันเมื่อวันนั้นมาถึง พบกันที่ความสำเร็จนะครับทุกคน
"ขอให้ทุกคนมีความฝัน และพยายามทำความฝันให้มันเป็นความจริง นะครับ"
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
สมาธิ กับ คลื่นสมอง
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน.....คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า....การกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากความคิด..และการสั่งการของสมองทั้งสิ้น สมองของเราเป็นส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การกิน การเดิน การนั่ง การมองเห็น การรับรู้ ซึ่งจะมีกลไก การทำงานที่่่่ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสมองมนุษย์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ไม่มีอะไรจะมาเสมอเหมือนได้
นักวิทยาศาสตร์ หลายคน จึงได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่องการทำงานของสมอง พบว่า สมองของคนเรานั้น จะปล่อยคลื่่นพลังงานออกมา อยู่ 4 ชนิด ด้วยกัน ซึ่งแต่ละคลื่นจะส่งผลให้สมองทำงานในลักษณะที่ต่างกัน ดังนี้ครับ
1. คลื่น เบต้า (Beta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 13 ถึง 25 รอบต่อวินาที
คลื่นเบต้าจะเกิดขึ้น ในขณะที่ สมองกำลังอยู่ในภาวะการทำงานและควบคุมจิตใต้สำนึก เช่น กำลังทำงาน,การพูดและทำกิจกรรมต่างๆ การใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป เป็นต้น
2. คลื่น อัลฟา (Alpha) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 8 ถึง 12 รอบต่อวินาที
คลื่นอัลฟาจะเกิดขึ้น ในขณะที่ สมองอยู่ในช่วงพักผ่อนหรือกำลังทำสมาธิ ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์หรือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว สมองจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากหากเกิดของคลื่นนี้ขึั้น
3. คลื่นธีต้า (Theta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 4 ถึง 11 รอบต่อวินาที
คลื่นเธต้าจะเกิดขั้น ในขณะที่ สมองอยู่ในช่วงของการเข้าสมาธิแบบลึก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการเห็นภาพต่างๆ เช่น การเข้าฌาน ของผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นสูง
4. คลื่น เดลต้า (Delta) มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 0.5 ถึง 3 รอบต่อวินาที
จะเกิดขึ้น ตอนที่สมองหลับอย่างเต็มที่ โดยไม่มีความฝันใดๆ หรือเป็นช่วงที่พักผ่อนอย่างเต็มที่
การหลับสนิท
สมาธิ คืออะไร? ในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต แต่สมาธิในความหมายของการฝึกปฏิบัติ คือการทำใจให้นิ่ง ซึ่งต่างจากร่างกายที่ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งแข็งแรง แต่จิตใจนั้นตรงกันข้าม คือจิตใจหวั่นไหวย่อมอ่อนแอ แต่หากหยุดนิ่งเฉยได้แล้วจะยิ่งมีพลัง เหมือนการรวมโฟกัสของแสงให้เป็นจุดเดียวกัน ย่อมมีพลังที่จะจุดไฟให้ติดได้
ในพระอภิธรรมปิฎก สมาธิ จะหมายถึง ความตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดี่ยว อย่างแน่วแน่ การปฏิบัติ สมาธิ ตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น เรียกว่า "สัมมาสมาธิ" คือ การทำจิตใจให้สงบ ละจากความยั่วยุทั้งปวง คือ กามคุณทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ตั้งมั่นอยู่กับจิตร เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีด้วยกันอยู่ 3 ระดับ
- 1.ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
- 2.อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ
- 3.อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
แต่ละระดับ ก็จะมีการฝึกฝนที่แตกต่างกันไป องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแบ่งนิสัยคน อยู่ 6 กลุ่มด้วยกันเรียกว่า จริต 6 ประการ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละคน ท่านได้ทรงกำหนดวิธีการฝึก เรียกว่า สมถกรรมฐาน จะมีด้วยกันอยู่ 40 วิธี ไว้ให้สำหรับคนแต่ละกลุ่ม รายละเอียดไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ สมถกรรมฐาน
กลุ่ม จริต 6 ประการ จะมีดังนี้
จริต (อ่านว่า จะหริด) จริต แปลว่า จิตท่องเที่ยว สถานที่จิตชอบท่องเที่ยว หรืออารมณ์ที่ชอบท่องเที่ยวของจิตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ มี 6 ประการ หมายถึง ความประพฤติ คือกิริยาอาการที่แสดงออกมาให้เห็น มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า จริย จริยา หรือ จรรยา โดยทั่วไปจะใช้หมายถึงกิริยาอาการที่ไม่ดี เช่น เสียจริต วิกลจริต ดัดจริต จริตจะก้าน แต่ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ความประพฤติ, พื้นเพ นิสัยใจคอ มี 6 อย่างคือ
- ราคจริต หนักไปทางรักสวยรักงามคือ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะ มักชอบพัฒนาศิลปะให้แก่สังคม
- โทสจริต หนักไปทางเจ้าอารมณ์มักโกรธ เป็นคนขี้โมโหโทโส พูดเสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ แต่งตัวไม่พิถีพิถัน เป็นคนใจเร็ว ชอบจับผิด จึงมองข้อตลกของคนได้ดี จึงมักเป็นคนที่พูดจาได้ตลกและสนุกสนาน เนื่องจากเป็นคนตรงไปตรงมา ปกป้องสังคมจากการเสื่อมได้ดี
- โมหจริต หนักไปทางลุ่มหลง ในทรัพย์สมบัติ นิสัยเห็นแก่ตัว อยากได้ของของคนอื่น ลุ่มหลงในลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ มักงมงายในบทบาทที่สังคมสมมุติให้ บ้าอำนาจ ถือความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ ยึดความเป็นสถาบันสูง
- สัทธาจริต หนักไปทางเชื่อถือจริงใจ น้อมไปในความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ เชื่อโดยไร้เหตุผล พวกนี้ถูกหลอกได้ง่าย ใครแนะนำก็เชื่อโดยไม่พิจารณา ชอบเพื่อน ชอบร่วมกลุ่ม พวกมากลากไป แคร์สังคม กลัวคนนินทา ชอบช่วยเหลือผู้อ่อนแอ
- พุทธิจริต หนักไปทางใช้ปัญญา เจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ การคิดการอ่าน ความทรงจำดี ถือหลักการ อนุรักษนิยม ชอบสั่งสอนคนอื่น
- วิตกจริต หนักไปทางชอบคิดมาก ถ้าขี้ขลาดจะวิตก กังวล ฟู้งซ่านชอบคิด ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่กล้าตัดสินใจ คิดอย่างไม่มีเหตุผล เกินจริง ชอบแหกกฎเกณฑ์ ข้อดีคิดนอกกรอบ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆต่อสังคม
กรรมฐาน ที่เหมาะกับคนในแต่ละกลุ่มดังนี้
- ราคจริต เหมาะกับ อสุภะ 10 นวสี 9 กายคตานุสสติ
- โทสจริต เหมาะกับ วรรณกสิน 4 พรหมวิหาร 4
- โมหจริต เหมาะกับ อานาปานสติ
- วิตกจริต เหมาะกับ อานาปานสติ กสินทั้ง 6 คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน เตโชกสิน วาโยกสิน อาโลกกสิน อากาสกสิน
- สัทธาจริต เหมาะกับ อนุสสติ 6 คือพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ ศีลานุสสติ เทวตานุสสติ
- พุทธิจริต พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาธาตุ 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ
หลักกรรมฐาน ที่สามารถ ใช้ได้กับทุกคน คือ หลัก "อาณาปานสติ" หรือการกำหนดลมหายใจ จะมีแบบการหายใจทั้งหมดอยู่ 16 คู่ ด้วยกัน ศึกษาเพิ่มเติ่ม กด อาณาปานสติ
แต่สิ่งที่ผมจะมาแนะนำกันในบทความนี้ เป็นหลักการหายใจที่นอกเหนือ จาก 16 ข้อที่กล่าวมา ซึ่งผมคิดขึ้นเองและได้ทดลองปฏิบัติ ได้ผลค่อนข้างดี โดยประยุกต์มาจาก หลักการของ อ.บัณฑิต อึ้งรังษี ถ้าใครจะนำไปลองใช้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ ได้ผลอย่างไร ช่วย แนะนำกันมาด้วยละกัน
วิธีการนี้จะเหมาะกับ คนที่ต้องการสมาธิแบบเร่งด่วน รวดเร็ว ทำได้ง่ายๆ
" วิธีการ หายใจ แบบ 4 4 4 " (ให้นับในใจ หลับตาจะได้ผลดี)
1.หายใจเข้า นับ 1, 2, 3, 4
2.กลั้นหายใจ นับ 1, 2, 3, 4
3.หายใจออกนับ 5, 6, 7, 8
ทำวนไปเรื่อยๆจนคิดว่าเรามีสมาธิแล้ว ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ก็หยุดได้ มันเป็นการเรียกสมาธิแบบง่ายๆ แล้วได้ผลเร็ว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสมาธิแบบเร่งด่วน
***จิตที่เป็นสมาธิ จะทำอะไรก็ย่อมจะบรรลุเป้าหมายได้ง่าย หากเราหมั่นฝึกฝนและจัดระเบียบความคิด บ่อยๆ ชีวิตและการทำงานของเรา ก็จะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ ได้ สมองเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ พระเจ้าได้มอบมันมาให้เราทุกคน อยู่ที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากแค่ไหน เท่านั้นเอง***
#-ขอบคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org
#-ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
แก่นพระพุทธศาสนา
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่าน หากใครได้ติดตามข่าวสารในบ้านเรา ช่วงนี้่สิ่งที่เป็นประเด็น มากที่สุดในสังคมไทย คงหนี้ไม่พ้น เรื่องของ ทางด้าน ศาสนา ที่เกี่ยวกับ วัดแห่งหนึ่ง ที่จริงจะว่าเกี่่ยวข้องกับศาสนา ด้วยตรง ก็คงจะไม่เชิงนัก เพราะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวบุคคล มากกว่า บังเอิญว่าบุคคลนั้น เป็นที่เคารพนับถือของ คนในพระพุทธศาสนา เรื่องราวรายละเอียดเป็นยังไง ก็ให้ทุกท่านไปติดตามกันเอาเอง นะครับ ผมจะไม่ขอกล่าวถึง เพราะมันเป็นเรื่องที่ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยง อยู่ไม่น้อย สิ่งที่ผมต้องการจะนำเสนอในบทความนี้ จะเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ และ แก่นของศาสนา ที่แท้จริง ที่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงอยากให้เป็น และดำเนินไป
ย้อนกลับไปก่อนพุทธกาล มีเจ้าชายหนุ่ม องค์หนึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นมายังโลกมนุษย์ เมื่อยามเยาว์วัย ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในวัง พอโตขึ้นได้ออกไปเห็นและเผชิญ กับความจริงในโลกกว้าง ได้เห็นและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย จนได้เจอกับ วัฎสงสารทั้ง 4 อันได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ และ การตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ พระองค์ ไม่เคยได้เห็นตอนที่อยู่ในวัง หลังจากได้สัมผัสโลกภายนอก ก็เกิดความสงสัยและคุ้นคิด อยู่ตลอดเวลา จนทำให้จิตใจเป็นทุกข์ ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุขใดเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานที่แสนสะดวกสบาย รายล้อมด้วยบริวารรับใช้ จึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อไปแสวงหาคำตอบ ว่าทำไม มนุษย์จึงต้องมีความสูญเสีย ต้องมีแต่ความทุกข์ ช่วงที่ค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ใช้แนวทาง ต่างๆนาๆ ทั้งการทรมานร่างกาย ทรมานจิตใจ แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช้ คำตอบที่พระองค์แสวงหา จึงเปลี่ยนแนวทาง มาทำอะไรที่พอประมาณ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง คือ ความไม่สุดโต่ง และ ไม่หย่อน จนเกินไป ทันใดนั้น ก็พลันสว่างโพร่งขึ้นในความคิด และหาคำตอบให้กับพระองค์เองได้ในที่สุด
ย้อนกลับไปก่อนพุทธกาล มีเจ้าชายหนุ่ม องค์หนึ่งถือกำเนิดเกิดขึ้นมายังโลกมนุษย์ เมื่อยามเยาว์วัย ก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในวัง พอโตขึ้นได้ออกไปเห็นและเผชิญ กับความจริงในโลกกว้าง ได้เห็นและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย จนได้เจอกับ วัฎสงสารทั้ง 4 อันได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ และ การตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ พระองค์ ไม่เคยได้เห็นตอนที่อยู่ในวัง หลังจากได้สัมผัสโลกภายนอก ก็เกิดความสงสัยและคุ้นคิด อยู่ตลอดเวลา จนทำให้จิตใจเป็นทุกข์ ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุขใดเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานที่แสนสะดวกสบาย รายล้อมด้วยบริวารรับใช้ จึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อไปแสวงหาคำตอบ ว่าทำไม มนุษย์จึงต้องมีความสูญเสีย ต้องมีแต่ความทุกข์ ช่วงที่ค้นหาคำตอบให้ตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ใช้แนวทาง ต่างๆนาๆ ทั้งการทรมานร่างกาย ทรมานจิตใจ แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช้ คำตอบที่พระองค์แสวงหา จึงเปลี่ยนแนวทาง มาทำอะไรที่พอประมาณ ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง คือ ความไม่สุดโต่ง และ ไม่หย่อน จนเกินไป ทันใดนั้น ก็พลันสว่างโพร่งขึ้นในความคิด และหาคำตอบให้กับพระองค์เองได้ในที่สุด
**แนวทางที่พระพุทธองค์ ทรงค้นพบนั้น ก็คือ แก่นแท้ของศาสนาพระพุทธศาสนา ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดนั้น ก็คือ "การปล่อยวางจากทุกสิ่ง ไม่ยึดติด กับสิ่งใดเลย" นั้นเอง
แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็นผู้ตื่นแล้ว จึงรู้และเข้าใจ ว่ามนุษย์ทั่วไป คงจะเดินตามแนวทางที่ท่านค้นพบได้ยาก เพราะมนุษย์นั้นมี กิเลส มากเหลือเกิน จึงได้บัญญัติ คำสอน ที่จะทำให้โลกมนุษย์ ไม่สับสนวุ่นวายจนเกินไป ให้ทุกอย่างพอเหมาะพอควร เอาไว้มากมาย อันนี้ก็ไปศึกษาเพิ่มเติมกันเอาเองนะครับว่ามีอะไรบ้าง
หลักธรรมที่ท่าน ได้สอนนั้น แบ่งได้อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ อันนี้ผมสรุปเองนะครับ
กลุ่มที่ 1: คือ หลักธรรมที่สอนให้กับ คนธรรมดา เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้เกิดความสุข หรือ ให้มีความทุกข์ น้อยที่สุด
กลุ่มที่ 2: คือ หลักธรรมที่สอนให้กับ กลุ่มคนที่ต้องการจะหลุดพ้น จาก กิเลสทั้งปวง เพื่อนำไปสู่ความว่างเปล่า หรือ นิพพาน ผู้ที่มีความตั้งใจจริง (กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ผมจะเน้นในบทความนี้)
*********************************************************************************
จากข่าวที่ปรากฎ ข้างต้น ทำให้ภาพลักษณ์ของ ศาสนาพุทธมีความด่างพร้อย อยู่ไม่น้อย เพราะกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า นักบวช เป็นกลุ่มคนที่อาสาเข้ามา นำพระธรรมคำสอน ที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ ไปเผยแผ่ และชี้ทางสว่างให้กับ คนทั่วไป เพื่อละจาก กิเลส นั้น กลับเป็นผู้ที่ ยึดติดกับ กิเลสเสียเอง ปากก็อ้างว่าทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา แต่การกระทำหาได้ปกป้องศาสนาไม่ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีกลุ่มคน ที่อ้างตัวเองว่านักบวช เหล่านี้ ออกมาเคลื่อนไหวในทางโลก ซึ่งถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดเลย กับการเผยแผ่ พระธรรมคำสอน สิ่งที่คนกลุ่มนี้ พึ่งกระทำนั้น ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี น่าเลื่อมใสศรัทธา ให้กับผู้ที่ต้องการปฏิบัตตามแนวทาง พระพุทธศาสนา มากกว่า คือ การยึดหลักพระธรรมวินัย ซึ่งแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ
1.) พุทธบัญญัติ หรือ ข้อห้ามทั้งปวง ที่ห้ามมิให้กระทำโดยเด็ดขาด
2.) อภิสมาจาร หรือ ข้อควรปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ความน่าเชื่อถือ การปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการสำรวมทางร่างกาย
เมื่อทั้ง 2 ลักษณะมารวมกัน ก็คือ ศีลทั้ง 227 ข้อ ที่พระสงฆ์ นักบวช ต้องกระทำ ถามว่า กลุ่มคนที่ถือว่าตัวเองเป็น นักบวช เหล่านี้ ได้ปฏิบัติกันครบ รึยัง ก่อนที่จะออกมาบอกว่า "ปกป้องพระพุทธศาสนา"
ควรทำตัวเองให้ได้เสียก่อน เหมือนคำกล่าว ที่ว่า "แบบอย่างที่ดี....มีค่ามากกว่าคำสอน" อย่าใช้ ศาสนามาเป็นข้ออ้าง เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเอง เลย แนวทางที่พระพุทธองค์ ทรงชี้ให้นั้นถูกต้องแล้ว อย่าบิดเบือน ให้ ศาสนาต้องมัวหมอง เพราะความลุ่มหลง และ พลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเลย
ประเทศไทย ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองของพระพุทธศาสนา แต่ที่สิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน นั้น ยังห่างไกล จากคำว่า พุทธ (ผู้ตื่น) อยู่มาก ดังนั้น พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน ทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ และ เป็นไปตามแนวทาง ที่ถูกต้อง ตาม แก่นแท้ของ พุทธศาสนา เพื่อแผ่นดินผืนนี้จะได้สูงขึ้นกว่าที่เป็น
#ขอบคุณที่ติดตาม
#Pairoj13
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
Valentine day
ที่จริงแล้วประเทศไทย..ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับวันนี้สักเท่าไหร่....ตามวัฒนธรรมประเพณีเดิมของเรานั้นไม่มีประเพณีแบบนี้...แต่เนื่องจาก....วิวัฒนาการของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว..ทำให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างชนชาติมากขึ้น โลกใบนี้จึงดูแคบลง...วัฒนธรรมต่างชาติ จึงได้เผยแพร่เข้ามาในสังคมไทย...และวัฒนธรรมเดียวกันนี้ ก็เผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว....จากประเพณี..เฉพาะชนชาติ ก็กลายเป็นประเพณี..โลก ไปโดยปริยาย
ถ้าพูดถึงวัน Valentine คงจะมีคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ กลุ่มวัยรุ่น ที่มักจะเข้าใจผิดๆ ว่าวันนี้เป็นวันของการสมสู่ การมีเพศสัมพันธ์ การเริ่มมีรัก ที่ดูจะผิดแนวทาง....อาจเป็นเพราะได้รับการซึมซับวัฒนธรรมชาวต่างชาติ...ที่มีการสัมผัสต้องตัวกันเป็นปกติ......ซึ่งในความคิดของเขานั้น ไม่ได้ยึดถือ รูปลักษณ์ร่างกายภายนอก อยู่แล้ว....ซึ่งต่างจากประเพณีของไทย โดยสิ้นเชิง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกัน วาเลนไทน์ มากขึ้น ผมจึงจะขออาสามาไข ความกระจาง ให้ผู้อ่านได้ทราบกัน เพื่อไม่ให้เป็นการผิดเพี้ยน จากเนื้อหาเดิม ผมจึงขอยกเอาบทความจากเวปไซต์ ให้ข้อมูลเชื่อดังอย่าง WiKiPedia.com มาบอกเล่าให้ทราบกัน ซึ่งถ้าใครต้องการศึกษาเพิ่มเติ่มก็สามารถ คลิ๊กได้ตามลิงค์เลยนะครับ ประวัติ Valentine Day
วันนักบุญวาเลนไทน์
(อังกฤษ: Saint Valentine's Day) หรือที่มักเรียกว่า วันวาเลนไทน์ (อังกฤษ: Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม
"วันนักบุญวาเลนไทน์" แต่เดิมเป็นเพียงวันฉลองนักบุญในศาสนาคริสต์ยุคแรกที่ชื่อ วาเลนตินัส (แต่นักบุญชื่อนี้มีหลายองค์) ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่นั้นกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น วันวาเลนไทน์ถูกำหนดขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนจะถูกลบออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไปของโรมัน (General Roman Calendar of saints) ในปี ค.ศ. 1969 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6
วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ช่วงกลางสมัยกลาง (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนามาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
มรณสักขีในศาสนาคริสต์ยุคแรกหลายคนมีชื่อว่า วาเลนไทน์ ซึ่งวาเลนไทน์ที่มีการฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คือ วาเลนไทน์แห่งโรม (Valentinus presb. m. Romae) และวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae) วาเลนไทน์แห่งโรมเป็นนักบวชในโรมผู้พลีชีพเพื่อศาสนาราว ค.ศ. 269 และฝังที่เวียฟลามีเนีย (Via Flaminia) กะโหลกที่สวมมาลัยดอกไม้ของนักบุญวาเลนไทน์จัดแสดงในมหาวิหารซานตามาเรียในคอสเมดิน โรม เรลิกอื่นพบได้ในมหาวิหารซานตาพราสเซเด (Santa Prassede)[4] ในโรมเช่นกัน เช่นเดียวกับที่โบสถ์คาร์เมไลท์ถนนไวท์ไฟร์อาร์ (Whitefriar Street Carmelite Church) ในดับลิน ไอร์แลนด์
วาเลนไทน์แห่งเทอร์นีกลายมาเป็นบิชอปแห่งอินเตรัมนา (Interamna, ปัจจุบัน คือ เทอร์นี) ราว ค.ศ. 197 และกล่าวกันว่าเขาได้พลีชีพในช่วงการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนในรัชสมัยจักรพรรดิออเรเลียน ศพเขาฝังที่เวียฟลามีเดียเช่นกัน แต่คนละตำแหน่งกับที่ฝังวาเลนไทน์แห่งโรม เรลิกของเขาอยู่ที่มหาวิหารนักบญวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี
สารานุกรมคาทอลิกยังกล่าวถึงนักบุญคนที่สามที่ชื่อวาเลนไทน์ ผู้ซึ่งมีการกล่าวขานถึงในบัญชีมรณสักขียุคต้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เขาพลีชีพเพื่อศาสนาในแอฟริการ่วมกับเพื่อนเดินทางจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับเขาอีก
ไม่มีส่วนใดที่โรแมนติกปรากฏในชีวประวัติยุคกลางตอนต้นแต่เดิมของมรณสักขีทั้งสามคนนี้ ก่อนที่นักบุญวาเลนไทน์จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องรักใคร่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นี้ ระหว่างวาเลนไทน์แห่งโรมกับวาเลนไทน์แห่งเทอร์นีนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย
ศีรษะของนักบุญวาเลนไทน์เก็บรักษาไว้ในแอบบีย์นิวมินสเตอร์ วินเชสเตอร์ และเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่มีหลักฐานว่านักบุญวาเลนไทน์จะเป็นนักบุญที่ได้รับความนิยมก่อนบทกวีของเชาเซอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 แม้แต่ในพื้นที่วินเชสเตอร์ การเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์มิได้แตกต่างไปจากการเฉลิมฉลองนักบุญคนอื่นมาก และไม่มีโบสถ์ใดอุทิศถึงเขา
ในการตรวจชำระปฏิทินนักบุญโรมันคาทอลิก วันฉลองนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกตัดออกจากปฏิทินโรมันทั่วไปและลดขั้นไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ (particular calendar, ท้องถิ่นหรือประจำชาติ) ด้วยเหตุผล "แม้ความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์จะเก่าแก่ แต่ชื่อของเขาก็ถูกลดไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ เพราะนอกเหนือไปจากชื่อของเขาแล้ว ไม่มีข้อมูลอื่นใดทราบกันเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ เว้นแต่ว่า ศพเขาฝังที่เวียฟลามิเนียเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์" วันฉลองนี้ยังมีการเฉลิมฉลองอยู่ในบัลซาน (มอลตา) ที่ซึ่งมีการอ้างว่าพบเรลิกของนักบุญวาเลนไทน์ที่นั่น และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยผู้นับถือนิกายคาทอลิกดั้งเดิมที่ถือตามปฏิทินที่เก่ากว่าก่อนหน้าของสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สองนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ยังมีการเฉลิมฉลองเป็นวันวาเลนไทน์ในนิกายอื่นของศาสนาคริสต์ ตัวอย่างเช่น วันวาเลนไทน์มีระดับระดับ "พิธีฉลอง" (commemoration) ในปฏิทินของคริสตจักรแห่งอังกฤษ และส่วนอื่นของแองกลิคันคอมมิวเนียน
ตำนาน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือที่ 6 ผลงานชื่อ Passio Marii et Marthae ได้กุเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนาแก่นักบุญวาเลนไทน์แห่งโรม ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เลย ผลงานนี้อ้างว่า นักบุญวาเลนไทน์ถูกเบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาคริสต์ และถูกสอบสวนโดยจักรพรรดิคลอเดียส กอธิคัสเป็นการส่วนตัว วาเลนไทน์ทำให้จักรพรรดิคลอเดียสประทับใจและได้สนทนากับเขา โดยพยายามให้เขาเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเพเกินโรมันเพื่อรักษาชีวิตของเขา วาเลนไทน์ปฏิเสธและพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิคลอเดียสหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงถูกประหารชวิต ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตนั้น มีรายงานวาเขาได้แสดงปาฏิหาริย์โดยรักษาลูกสาวตาบอดของผู้คุมของเขา แอสเตอเรียส (Asterius) Passio สมัยหลังย้ำตำนานนี้ โดยเสริมเรื่องกุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ได้ทรงสร้างโบสถ์ครอบสุสานของเขา (เป็นความเข้าใจผิดกับผู้พิทักษ์ประชากร [tribune] ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ชื่อ วาเลนติโน ซึ่งบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ในขณะที่จูเลียสเป็นพระสันตะปาปา) ตำนานได้หยิบยกขึ้นเป็นข้อเท็จจริงโดยบันทึกมรณสักขีในภายหลัง เริ่มจากบันทึกมรณสักขีของบีดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีย้ำในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใน Legenda Aurea หนังสือนี้อธิบายคร่าว ๆ ถึงกิจการของนักบุญ (Acta Sanctorum) ยุคกลางตอนต้นของนักบุญวาเลนไทน์หลายคน และตำนานนี้จัดเข้ากับวาเลนไทน์ใต้วันที่
14 กุมภาพันธ์
คงได้ทราบถึงประวัติของวันนี้กันแล้วนะครับ.....ขอให้มีความสุขกันวันแห่งความรักกันทุกๆคน........
ความรัก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรักที่เกิดจากจิตใจที่บริสุทธิ์ รักด้วยการให้....ไม่ใช้ยึดครอง....ทุกวันนี้ที่โลกสับสนวุ่นวาย...เกิดปัญหามากมาย....เพราะต่างคน ต่างคิดว่า..ตนเองเป็นเจ้าของทุกอย่าง....แม้แต่กระทั้งสิ่งมองไม่เห็น จับจองไม่ได้ ยังถือเอามาเป็นของตัว.....แต่ถ้าหากเรารู้จักปล่อยว่าง และรู้จักการให้ แก่ผู้อื่น...ตัวเราเองก็จะปราศจากความทุกข์ทั้งปวง อย่างที่ท่าน พุทธทาส ภิกขุ ได้สอนไว้ดังนี้ครับ
*ขอบคุณที่ติดตาม
*ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org
#Pairoj13
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Wikipedia
ผลการค้นหา