วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ฟุตบอลโลก

ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลฟุตบอลโลก ซึ่งถ้าใครติดตามข่าวสารก็จะได้รู้ว่ามีปัญหามากมายเกิดขึ้น กับการถ่ายทอดสด ซึ่งทางบริษัท อาร์เอสผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้ซื้อมาจาก ฟีฟ่า เพื่อนำมาทำธุรกิจ โดยการขายกล่องรับชม และขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดให้กับบริษัทอื่น ทำให้ผู้ที่มีความต้องการจะดูบอลโลกให้ครบทุกนัดต้องไปซื้อกล่องของ อาร์เอสมาเท่านั้นถึงจะดูได้  จึงเกิดการร้องเรียนและฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ระหว่างอาร์เอส และ กสทช. ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ โดย กสทช.มีความต้องการให้อาร์เอสถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี เรื่องราวดังกล่าวจึงต้องไปที่ศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองเป็นศาลที่ตัดสินคดีความเกี่ยวกับ คดีข้อพิพาษระหว่างรัฐกับเอกชน คำตัดสินของศาลปกครองตัดสินให้อาร์เอสชนะคดี กสทช. จำเป็นต้องซื้อลิขสิทธิ์ของอาร์เอส เพื่อนำฟุตบอลโลกมาถ่ายทอดทางฟรีทีวี ให้ประชาชนได้รับชมซึ่งเป็นสิทธิที่พึ่งจะได้รับจากการจัดสรรของรัฐบาล หลายคนคงอยากรู้ว่าความเป็นมาของฟุตบอลโลกเป็นยังไงทำไมกีฬาฟุตบอลถึงได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก ใครเป็นผู้คิดกีฬาชนิดนี้ มาดูกัน

ประวัติความเป็นมาและเป็นไปของกีฬาฟุตบอล

ฟุตบอล (Football) หรือ ซอกเกอร์ (Soccer) เป็นกีฬาที่มีคนสนใจในการเล่น และเข้าชมสูงที่สุดของโลก แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า กีฬาฟุตบอลถือกำเนิดมาจากชนชาติใด โดยเฉพาะเป็นกีฬายอดนิยมสูงสุดของโลก ก็ยิ่งทำให้ทุกๆ ประเทศมีวิวัฒนาการทางการกีฬา ยืนยันว่าเป็นกีฬาที่เกิดจากประเทศของตนทั้งสิ้น แต่ประเทศที่อ้างว่าเป็นกีฬาที่เกิดขึ้นจากตนเอง ก็ไม่สามารถหาหลักฐาน  ยืนยัน จึงเพียงแต่กล่าวว่า น่าจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ จะเป็นจริงหรือไม่อย่างใดนั้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากที่ใด สรุปได้ดังนี้คือ
เมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า ในประเทศจีนมีการเล่นเกมอย่างหนึ่ง เรียกว่า ซูจู(Tsu Chu) ซึ่งหมายถึง เกมที่ใช้เท้าเตะลูกบอล โดยมากการเล่นเกมนี้ จะเป็นการเล่นถวายพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ชนะจะได้รางวัลอย่างงาม ส่วนผู้แพ้บางครั้งจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน
ชาวญี่ปุ่นก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่มีเกมการเล่นในลักษณะที่ใช้เท้าเล่น เรียกว่า เกมาริ (Kemari) โดยมีการกำหนดขอบเขต และมุมของสนามด้วยต้นสน ต้นเชอรี่ ต้นเมเปิล หรือต้นวิลโล เป็นแนวเขตธรรมชาติ
ชาวโรมันในสมัยโบราณมีเกมการเล่นชนิดหนึ่งเรียกว่าฮาร์พาสเตียม (Harpastium) โดยใช้กระเพาะปัสสาวะของหมูเอามาสูบลมแล้วนำมาเตะกัน นอกจากจะเตะแล้วอาจใช้การผลัก ถือ วิ่ง ชก ขว้างปา ให้ลูกบอลไปถึงที่หมายของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ซึ่งคล้ายกับกีฬารักบี้ฟุตบอล ในสมัยปัจจุบัน
ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี มีเกมคล้าย ๆ กันนี้ เรียกว่า กัลโช (Calcio) โดยเล่นกันที่เปียซซ่า เดลลา โครเก (Piazza della Croce) มีผู้เล่นข้างละ 27 คน แต่ละทีมจะสวมชุดเครื่องแต่งกายประจำถิ่นหรือหมู่บ้านนั้น ๆ ตามความนิยมในสมัยนั้น ปัจจุบันเกมนี้ยังคงได้รับการฟื้นฟูจากทางการของอิตาลีจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน
เชื่อกันว่าชาวโรมันเป็นผู้นำเกมการเล่นแบบเตะลูกบอล(Harpastium) มายังประเทศอังกฤษ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด จนกระทั่งหลายศตวรรษ หลังจากโรมันได้จากเกาะอังกฤษไปแล้ว ในประมาณปี พ..1343 กองทัพเดนมาร์ค ได้ยกเข้าโจมตีที่มั่นของอังกฤษที่เมืองคิงสตัน (Kingston) นักประวัติศาสตร์บางท่านบอกว่าเป็นที่มั่นเมืองเชสเตอร์ (Chester) ทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ที่มั่นดังกล่าว ได้ต่อสู้เป็นสามารถ ในที่สุดเมื่อได้รับการสนับสนุนจากเมืองหลวง คือ ลอนดอน (London) ก็สามารถตีกองทัพเดนมาร์คแตกพ่ายไป แม่ทัพเดนมาร์คถูกฆ่าตาย และทหารอังกฤษได้ตัดเอาศีรษะของเขามาเตะเล่นกันไปรอบ ๆ ค่ายทหาร วันที่อังกฤษได้รับชัยชนะนั้น คือ วันมาดิกราส์ (Shrove Tuesday) ซึ่งต่อมาถือเป็นวันสำคัญแห่งชาติอังกฤษไป เกมการเตะศีรษะคนก็เปลี่ยนมาเป็นเกมการเตะลูกบอลที่ทำด้วยหนัง กลายเป็นกิจกรรมสำคัญสำหรับฉลองในเทศกาลวันสำคัญดังกล่าว และแพร่หลายไปตามชนบท คนทั้งหมู่บ้านออกมาเตะฟุตบอลเล่นกัน ผู้เล่นสามารถใช้ทุกส่วนสัมผัสลูกบอลได้ ประตูซึ่งอาจจะเป็นประตูเมือง หรือต้นไม้ จะอยู่ห่างกันหลายร้อยเมตร เป็นการเล่นที่รุนแรง (ถูกนำมาใช้ทำให้เกิดความเสียหายและบาดเจ็บต่อผู้เล่นเป็นจำนวนมาก จนบางครั้งดูเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน จนถึงขึ้นการจลาจลบ่อย ๆ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ และพระเจ้า     ริชาร์ดที่ จึงได้ทรงห้ามไม่ให้มีการเล่นเกมฟุตบอลที่โหดร้ายนี้อีกต่อไป แต่ก็ยังมีการเล่นอยู่ประปราย
ความรุนแรงของการเล่นฟุตบอลค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งปี พ..2243 โรงเรียนที่มีชื่อเสียงในอังกฤษ เช่น โรงเรียนรักบี้ (Rugby) และโรงเรียนอีตัน (Eton) ก็นำเกมฟุตบอลมาฟื้นฟู มีการพยายามกำหนดกฎ กติกาการเล่น แต่ก็ยังไม่เป็นมาตรฐาน เพราะแต่ละแห่งจะสร้างกติกา เพื่อประโยชน์ของทีมตนเองทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎกติกาการเล่นของแต่ละแห่งทำให้นักกีฬาใหม่ขึ้นมาอยู่ลักษณะ คือ ไปในแนวทางรักบี้ฟุตบอล (Rugby Football) และฟุตบอล (Soccer or Association Football)
ปี พ..2343 กีฬาฟุตบอลได้รับการพัฒนาให้มีการเล่นที่สุภาพมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ..2406 โดยการรวมกลุ่มของสโมสรฟุตบอลในลอนดอน 11 แห่ง เพื่อร่วมกันปรับปรุง แก้ไข กฎ กติกา การเล่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอันถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเล่นกีฬาฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบัน
การเล่นฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเผยแพร่ของทหารบกและทหารเรือของอังกฤษ ซึ่งขณะนี้มีประเทศที่เป็นอาณานิคมอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง จึงได้มีการก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (The Federation International de Football Association) หรือเรียกว่า ฟีฟ่า(F.I.F.A.) โดยมีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประเทศสมาชิกก่อตั้ง ประเทศ ปัจจุบันนี้มีประเทศต่าง ๆ สมัครเป็นสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ

ประวัติฟุตบอลโลก 

การแข่งขันฟุตบอลนานาชาติยุคก่อน

นัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรก ในการแข่งขันที่กลาสโกว์ ในปี ค.ศ. 1872 ระหว่างสก็อตแลนด์กับอังกฤษ[2] และในการแข่งขันชิงชนะเลิศระหว่างประเทศครั้งแรกที่ชื่อบริติชโฮมแชมเปียนชิป ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1884[3] กีฬาฟุตบอลเติบโตในส่วนอื่นของโลกนอกเหนือจากอังกฤษในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ มีการแนะนำกีฬาและแข่งขันประเภทนี้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1900 และ 1904 และที่กีฬาโอลิมปิกซ้อน 1906[4]
หลังจากที่สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1904 ได้มีการพยายามจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงชนะเลิศระหว่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศที่เข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปี 1906 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศในยุคแรก ๆ แต่ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของฟีฟ่าอธิบายว่าการแข่งขันนั้นล้มเหลวไป[5]
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1908 ในกรุงลอนดอน ฟุตบอลถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่แข่งขันอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นโดยสมาคมฟุตบอล อังกฤษได้ดูแลในการจัดการแข่งขัน โดยผู้แข่งขันเป็นมือสมัครเล่นเท่านั้นและดูเป็นการแสดงมากกว่าการแข่งขัน โดยบริเตนใหญ่ (แข่งขันโดยทีมฟุตบอลสมัครเล่นทีมชาติอังกฤษ) ได้รับเหรียญทองในการแข่งขัน ต่อมาในโอลิมปิกฤดูร้อน 1912 ที่สต็อกโฮล์มก็มีจัดขึ้นอีก โดยการแข่งขันจัดการโดยสมาคมฟุตบอลสวีเดน
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งแข่งขันฟุตบอลเฉพาะในทีมสมัครเล่น เซอร์โทมัส ลิปตันได้จัดการการแข่งขันที่ชื่อ การแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเซอร์โทมัสลิปตัน จัดขึ้นในตูรินในปี ค.ศ. 1909 เป็นการแข่งขันระหว่างสโมสร (ไม่ใช่ทีมชาติ) จากหลาย ๆ ประเทศ บางทีมเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ การแข่งขันครั้งนี้บางครั้งอาจเรียกว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก[6] มีทีมอาชีพเข้าแข่งขันจากทั้งในอิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษปฏิเสธที่จะร่วมในการแข่งขันและไม่ส่งทีมนักฟุตบอลอาชีพมาแข่ง ลิปตันเชิญสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ จากมณฑลเดอแรม เป็นตัวแทนของอังกฤษแทน ซึ่งสโมสรเวสต์อ็อกแลนด์ทาวน์ชนะการแข่งขันและกลับมารักษาแชมป์ในปี 1911 ได้สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 1914 ฟีฟ่าได้จำแนกการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกว่าเป็น "การแข่งขันชิงแชมป์สำหรับมือสมัครเล่น" และลงรับผิดชอบในการจัดการการแข่ง[7] และนี่เป็นการปูทางให้กับการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทวีปเป็นครั้งแรก โดยในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ที่มีทีมแข่งขันอย่างอียิปต์และทีมจากยุโรปอีก 13 ทีม มีผู้ชนะคือทีมเบลเยี่ยม[8] ต่อมาทีมอุรุกวัย ชนะในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิกในอีก 2 ครั้งถัดไปคือในปี ค.ศ. 1924 และ 1928 และในปี ค.ศ. 1924 ถือเป็นยุคที่ฟีฟ่าก้าวสู่ระดับมืออาชีพ

สนามกีฬาเอสตาเดียวเซนเตนาเรียวสถานที่การจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ที่เมืองมอนเตวิเดโอประเทศอุรุกวัย
จากความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิก ฟีฟ่าพร้อมด้วยประธานที่ชื่อ ชูล รีเม ได้ผลักดันอีกครั้งโดยเริ่มมองหาหนทางในการจัดการแข่งขันนอกเหนือการแข่งขันโอลิมปิก ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 ที่ประชุมฟีฟ่าในอัมสเตอร์ดัมตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันด้วยตัวเอง[9] กับอุรุกวัย ที่เป็นแชมเปียนโลกอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง และเพื่อเฉลิมฉลอง 1 ศตวรรษแห่งอิสรภาพของอุรุกวัยในปี ค.ศ. 1930 ฟีฟ่าได้ประกาศว่าอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก
สมาคมฟุตบอลของประเทศที่ได้รับการเลือก ได้รับการเชิญให้ส่งทีมมาร่วมแข่งขัน แต่เนื่องจากอุรุกวัยที่เป็นสถานที่จัดงาน นั่นหมายถึงระยะทางและค่าใช้จ่ายที่ต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาจากฝั่งยุโรปมา ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีประเทศไหนในยุโรปตอบตกลงว่าจะส่งทีมมาร่วม จนกระทั่ง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน ในที่สุดริเมตจึงสามารถเชิญทีมจากเบลเยี่ยม ฝรั่งเศส โรมาเนีย และยูโกสลาเวีย มีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 13 ทีม โดยมี 7 ทีมจากทวีปอเมริกาใต้4 ทีมจากยุโรป และ 2 ทีมจากอเมริกาเหนือ
2 นัดแรกของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 ผู้ชนะคือทีมฝรั่งเศส และทีมสหรัฐอเมริกา ชนะเม็กซิโก 4–1 และเบลเยี่ยม 3–0 ตามลำดับ โดยผู้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลกมาจากลุกแซง โลร็องต์ จากฝรั่งเศส[10] ในนัดตัดสินทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 4–2 ต่อหน้าผู้ชม 93,000 คนที่เมืองมอนเตวิเดโอ ทีมอุรุกวัยจึงเป็นชาติแรกที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก[11]

ฟุตบอลโลกก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังจากที่เกิดการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้นแล้ว ในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1932 ที่จัดขึ้นที่เมืองลอสแอนเจลิส ก็ไม่ได้รวมการแข่งขันฟุตบอลเข้าไปด้วย เนื่องจากความไม่ได้รับความนิยมในกีฬาฟุตบอลในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อเมริกันฟุตบอลได้รับความนิยมมากขึ้น ทางฟีฟ่าและคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ที่มีความคิดเห็นต่างกันในเรื่องผู้เล่นในฐานะมือสมัครเล่น ดังนั้นจึงไม่มีการแข่งขันฟุตบอลในเกมนี้[12] แต่ต่อมาฟุตบอลได้กลับมาในกีฬาโอลิมปิกใน โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 แต่ถูกลดความสำคัญลง เพราะความมีชื่อเสียงของฟุตบอลโลก
ประเด็นในการจัดการแข่งขันในช่วงแรกของฟุตบอลโลกที่เป็นความยากลำบากในการเดินทางข้ามทวีปและสงครามนั้น มีทีมจากอเมริกาใต้บางทีมยินดีที่จะเดินทางไปยุโรปในการแข่งขันในปี1934 และ 1938 โดยทีมบราซิลเป็นทีมเดียวในอเมริกาใต้ที่เข้าแข่งขันทั้ง 2 ครั้งนี้ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลโลก 1942 และ 1946 ได้มีการยกเลิกไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองและพักจากผลกระทบของสงครามโลก

ฟุตบอลโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ฟุตบอลโลก 1950 จัดขึ้นที่ประเทศบราซิล เป็นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักรเข้าร่วมการแข่งขัน ทีมสหราชอาณาจักรถอนตัวจากฟีฟ่าในปี ค.ศ. 1920 ที่ไม่พอใจในบางส่วนที่ต้องเล่นกับประเทศที่พวกเขาทำสงครามด้วย และบางส่วนเพื่อประท้วงด้านอิทธิพลและการบังคับจากต่างชาติ[13] แต่ก็กลับเข้ามาร่วมในปี ค.ศ. 1946 หลังจากได้รับคำเชื้อเชิญจากฟีฟ่า[14] การแข่งขัน ทีมแชมเปียนอย่างอุรุกวัยก็กลับเข้ามาร่วม หลังจากที่คว่ำบาตรฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง โดยทีมอุรุกวัยชนะในการแข่งขันอีกครั้ง หลังจากที่ชนะประเทศเจ้าภาพบราซิล นัดการแข่งขันนี้เรียกว่า "มารากานาซู" (โปรตุเกสMaracanaço)
แผนที่ของทีมประเทศต่าง ๆ กับผลงานที่ดีที่สุด
ในการแข่งขันระหว่างปี ค.ศ. 1934 และ 1978 มีทีมเข้าร่วมแข่งขัน 16 ทีม ยกเว้นในปี ค.ศ. 1938 เมื่อออสเตรียรวมเข้ากับเยอรมนี หลังจากรอบคัดเลือก ทำให้มีทีมแข่งขันเหลือเพียง 15 ทีม และในปี ค.ศ. 1950 เมื่ออินเดีย สก็อตแลนด์ และตุรกี ถอนตัวจากการแข่งขัน ทำให้มีทีมร่วมแข่งขันเพียง 13 ทีม[15] ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันส่วนใหญ่เป็นทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ มีส่วนน้อยจากอเมริกาเหนือ แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย ทีมเหล่านี้มักจะแพ้อย่างง่ายดายกับทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1982 มีทีมนอกเหนือจากยุโรปและอเมริกาใต้ที่เข้าสอบรอบสุดท้าย คือทีมสหรัฐอเมริกา เข้ารอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1930, ทีมคิวบาเข้ารอบรองชนะเลิศใน ปี ค.ศ. 1938, ทีมเกาหลีเหนือ เข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1966 และทีมเม็กซิโกเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1970

ขยายเป็น 32 ทีม

การแข่งขันขยายเป็น 24 ทีมในปี ค.ศ. 1982[16] จากนั้นเป็น 32 ทีมในปี ค.ศ. 1998[17] ทำให้มีทีมจากแอฟริกา เอเชียและอเมริกาเหนือเข้ารอบมากขึ้น และในปีครั้งหลัง ๆ ทีมในภูมิภาคเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น และสามารถติดในรอบก่อนรองชนะเลิศมากขึ้น ได้แก่ ทีมเม็กซิโก เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1986, ทีมแคเมอรูน เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 1990, ทีมเกาหลีใต้ได้อันดับ 4 ในปี ค.ศ. 2002, ขณะที่ทีมเซเนกัลและสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 ทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 2002 และทีมกานา เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2010 แต่ถึงอย่างไรก็ตามทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ก็ยังคงมีความโดดเด่นอยู่ เช่นในปี ค.ศ. 1998 และ 2006 ที่ทีมทั้งหมดในรอบรองชนะเลิศมาจากยุโรปและอเมริกาใต้
ในฟุตบอลโลก 2002 ในรอบคัดเลือก มีทีมเข้าร่วมคัดเลือก 200 ทีม และในฟุตบอลโลก 2006 มีทีมที่พยายามเข้าคัดเลือก 198 ทีม ขณะที่ในฟุตบอลโลก 2010 มีประเทศที่เข้าร่วมรอบคัดเลือก 204 ทีม ซึ่งถือเป็นสถิติเป็นปีที่มีประเทศเข้าคัดเลือกมากที่สุด[18]
โดยโควต้าของแต่ละมีทวีปจะมีต่างกันคือ เอเชีย 4.5 ทีม, โอเชียเนีย 0.5 ทีม, แอฟริกา 5 ทีม, อเมริกาเหนือ 3.5 ทีม, ยุโรป 13 ทีม, อเมริกาใต้ 4.5 ทีม และประเทศเจ้าภาพอีก 1 ทีม ซึ่งต่อมาทางเอเอฟซีได้มีแผนที่จะรวมเอเชียกับโอเชียเนียเข้าด้วยกันเพื่อขอเพิ่มโควต้าจาก 4.5 ทีม เป็น 5 ทีม[19]

การแข่งขันอื่นของฟีฟ่า

ในการแข่งขันของฟุตบอลสำหรับผู้หญิง คือ ฟุตบอลโลกหญิง จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1991 ที่ประเทศจีน[20] ฟุตบอลโลกหญิงจะมีการแข่งขันที่เล็กกว่าฟุตบอลของผู้ชาย แต่กำลังเติบโตอยู่เรื่อย ๆ มีทีมเข้าร่วมแข่งขันในปี ค.ศ. 2007 อยู่ 120 ทีม มากกว่า 2 เท่าของในปี ค.ศ. 1991
กีฬาฟุตบอลนั้นได้มีอยู่ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนทุก ๆ ครั้ง ยกเว้นในปี ค.ศ. 1896 และ 1932 แตกต่างจากกีฬาประเภทอื่นซึ่งในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลในโอลิมปิก ทีมที่ร่วมแข่งจะไม่ใช่ทีมระดับสูงสุด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1992 ที่แต่เดิมให้ผู้แข่งขันอายุ 23 ปีเข้าแข่งขัน แต่ก็อนุญาตให้มีผู้เล่นที่อายุมากกว่า 23 ปี จำนวน 3 คนของแต่ละทีม ลงแข่งขันได้[21] ส่วนฟุตบอลหญิงในโอลิมปิก แข่งขันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1996 เป็นการแข่งขันทีมชาติเต็มทีม ไม่มีจำกัดอายุ
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นก่อน 1 ปีที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ในประเทศเจ้าภาพที่จะแข่งขัน เหมือนเป็นการอุ่นเครื่องฟุตบอลโลกที่จะมาถึง เป็นการแข่งขันระหว่างผู้ชนะเลิศจากแต่ละภูมิภาคทั่วโลก (เอเชียนคัพ แอฟริกันคัพ โกลด์คัพ โคปาอเมริกา เนชันส์คัพ และ ฟุตบอลยูโร) พร้อมทั้งทีมที่ชนะฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดและทีมเจ้าภาพ[22]
ฟีฟ่าจะจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนระดับนานาชาติ (ฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปีฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปีฟุตบอลโลกหญิงอายุไม่เกิน 20 ปีฟุตบอลโลกหญิงอายุไม่เกิน 17 ปี, การแข่งขันฟุตบอลระหว่างสโมสร (ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ), และการแข่งขันฟุตบอลอื่นเช่น ฟุตซอล (ฟุตซอลชิงแชมป์โลก) และฟุตบอลชายหาด (ฟุตบอลชายหาดชิงแชมป์โลก)

ถ้วยรางวัล


ถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์ถ้วยรางวัลชนะเลิศฟุตบอลโลก ตั้งชื่อตามประธานฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์เริ่มใช้ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1930-ฟุตบอลโลก 1974
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง 1970 ถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์เป็นถ้วยที่มอบให้แก่ผู้ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก เดิมทีเรียกง่ายๆ ว่า เวิลด์คัป (อังกฤษWorld Cup) หรือ คูปดูมอนด์ (ฝรั่งเศสCoupe du Monde) แต่ในปี ค.ศ. 1946 ได้เปลี่ยนชื่อตามประธานฟีฟ่า ที่ชื่อ ชูลส์ รีเมต์ ที่ได้ริเริ่มการแข่งขันครั้งแรก และเมื่อในปี ค.ศ. 1970 เมื่อทีมบราซิลชนะการแข่งขันเป็นครั้งที่ 3 ได้ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์จากการที่ได้แชมป์ 3 สมัย แต่ในปี ค.ศ. 1983 ถ้วยถูกขโมยไปและไม่มีใครได้เห็นอีกเลย[23]


          หลังจากปี ค.ศ. 1970 ก็มีถ้วยรางวัลใหม่ ที่รู้จักในชื่อ ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัป โดยผู้เชี่ยวชาญของฟีฟ่าที่มาจาก 7 ประเทศ ประเมินจากแบบ 53 แบบ จนสรุปที่ผลงานการออกแบบของนักออกแบบชาวอิตาลีที่ชื่อซิลวีโอ กัซซานีกา (Silvio Gazzaniga) ถ้วยรางวัลใหม่นี้มีความสูง 36 ซม. (14.2 นิ้ว) ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75%) น้ำหนัก 6.175 กก. (13.6 ปอนด์) ฐานของถ้วยมีเส้น 2 ชั้นทำจากมรกต ในส่วนใต้ฐานของถ้วยรางวัลสลักปีและชื่อของทีมผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ผู้ออกแบบอธิบายถ้วยรางวัลนี้ว่า "เส้นที่โดด

เด่นจากฐาน ที่หมุนรอบนั้นได้ขยายเพื่อรองรับโลก จากแรงดึงที่เคลื่อนที่ที่โดดเด่นของในส่วนตัวของถ้วยของประติมากรรมนี้ ได้ช่วยให้รูปร่างนักกีฬาดูเคลื่อนไหวไปกับห้วงเวลาแห่งชัยชนะ"[24]
ชาติผู้ชนะไม่ได้กรรมสิทธิ์การครอบครองถ้วยถาวร แต่ผู้ชนะฟุตบอลโลกจะเก็บถ้วยไว้จนกว่าจะถึงการแข่งขันครั้งต่อไป และจะได้ถ้วยจำลองจากทองผสมไปแทน[25]
ในปัจจุบัน สมาชิกทุกคน (ทั้งผู้เล่นและโค้ช) ของทีมใน 3 อันดับแรกจะได้รับเหรียญตรารูปถ้วยฟุตบอลโลก ผู้ชนะได้เหรียญทอง รองชนะเลิศได้เหรียญเงิน และที่ 3 ได้เหรียญทองแดง นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 2002 มีการมอบเหรียญที่ 4 ให้ประเทศเจ้าภาพคือเกาหลีใต้ ก่อนหน้าการแข่งขันปี ค.ศ. 1978 จะมอบเหรียญให้กับ ผู้เล่นเพียง 11 คน ในนัดสุดท้ายของการแข่งขันรวมถึงนัดการแข่งขันชิงที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ฟีฟ่าประกาศว่าสมาชิกทุกคนของทีมผู้ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลกระหว่างปี ค.ศ. 1930 และ 1974 จะได้รับรางวัลย้อนหลังเป็นเหรียญตรา[26][27][28]

รูปแบบการแข่งขัน

รอบคัดเลือก

ตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ 1934 ก็เริ่มมีการจัดการแข่งขันคัดเลือกเพื่อจำกัดทีมในรอบสุดท้ายให้น้อยลง[29] จัดในเขตการแข่งขันทั้ง 6 เขตของฟีฟ่า (แอฟริกา, เอเชีย, อเมริกาเหนือและกลางและแคริบเบียน, อเมริกาใต้, โอเชียเนีย, และยุโรป) ตรวจสอบโดยสมาพันธ์ที่เกี่ยวข้อง ในการแข่งขันในแต่ละครั้ง ฟีฟ่าจะกำหนดล่วงหน้าเรื่องจำนวน ว่าจะมีกี่ทีมในแต่ละเขตที่จะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของทีมของสมาพันธ์
กระบวนการคัดเลือก จะเริ่มในเกือบ 3 ปีก่อนที่จะแข่งรอบสุดท้ายและจะสิ้นสุดในช่วง 2 ปีก่อนการแข่งขัน รูปของการแข่งขันรอบคัดเลือกจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสมาพันธ์ โดยปกติแล้ว ที่ 1 หรือ 2 อันดับแรกที่ชนะเพลย์ออฟระหว่างทวีป ตัวอย่างเช่น ผู้ชนะของเขตโอเชียเนีย และที่ 5 ของทีมในโซนเอเชีย จะแข่งรอบเพลย์ออฟในฟุตบอลโลก 2010[30] และจากฟุตบอลโลก 1938 เป็นต้นมา ประเทศเจ้าภาพจะเข้าสู่รอบสุดท้ายโดยทันที และทีมแชมป์จะเข้ารอบสุดท้ายเพื่อป้องกันตำแหน่งในระหว่างปี 1938 และ 2002 แต่ในปี 2006 ได้งดไป ทีมบราซิลที่ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 เป็นทีมแรกที่แข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อป้องกันตำแหน่ง[31]

รอบสุดท้าย

การแข่งขันรอบสุดท้ายปัจจุบัน มีทีมเข้าแข่งขัน 32 ชาติ ที่จะแข่งขันนานร่วม 1 เดือน ในประเทศเจ้าภาพการแข่งขัน โดยแบ่งเป็น 2 รอบคือ รอบแรก (แบ่งกลุ่ม) และรอบแพ้คัดออก[32]
ในรอบแบ่งกลุ่ม จะแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 4 ทีม โดยมี 8 ทีม (รวมถึงประเทศเจ้าภาพด้วย) ที่จะถูกเลือกออกมาจากอันดับโลกฟีฟ่า และ/หรือ ผลการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา ทั้ง 8 ทีมจะถูกแยกออกไปในแต่ละกลุ่ม[33] ส่วนทีมที่เหลือจะใส่ลงโถ โดยมากเป็นแบ่งจากเขตทางภูมิศาสตร์ แต่ละทีมในโถจะจับสลากกลุ่มที่อยู่ และตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1998 มีข้อบังคับว่าในแต่ละกลุ่มจะไม่มีทีมจากยุโรปมากกว่า 2 ทีม และมากกว่า 1 ทีม จากสมาพันธ์ฟุตบอลของแต่ละทวีปอื่น[34]
แต่ละทีมในกลุ่มจะแข่งแบบพบกันหมด กล่าวคือแต่ละทีมจะแข่ง 3 นัด กับทีมอื่นในกลุ่มจนครบ ส่วนนัดสุดท้ายของการแข่งขันแบ่งกลุ่มจะแข่งเวลาเดียวกัน เพื่อให้ความยุติธรรมกับทั้ง 4 ทีม[35]ทีมที่มีคะแนนสูงสุด 2 อันดับแรกในกลุ่มจะเข้าสู่รอบแพ้คัดออก โดยคะแนนมาจากการทำคะแนนในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 กำหนดให้ทีมผู้ชนะได้ 3 คะแนน ทีมที่เสมอได้ 1 คะแนน และทีมที่แพ้ไม่ได้คะแนน (ก่อนหน้านี้ ทีมที่ชนะได้ 2 คะแนน)
อันดับของแต่ละทีมในกลุ่ม พิจารณาจาก[36]
  1. จำนวนคะแนนในกลุ่ม
  2. จำนวนความแตกต่างในการทำประตูในกลุ่ม
  3. จำนวนการทำประตูในกลุ่ม
  4. ถ้าหากยังอยู่ในระดับเท่ากัน จะพิจารณาเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
    1. จำนวนคะแนนในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน
    2. จำนวนความแตกต่างในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน
    3. จำนวนประตูในนัดที่ทีมเหล่านั้นเจอกัน
  5. หากทีมยังอยู่ในระดับเท่ากันอีก หลังจากพิจารณาเกณฑ์ด้านบน จะใช้อันดับโลกฟีฟ่าในการพิจารณา
รอบแพ้คัดออก แต่ละรอบจะแข่งกันเพียงครั้งเดียว โดยจะต่อเวลาพิเศษและยิงลูกโทษหากไม่สามารถทำประตูได้ โดยเริ่มที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย (หรือรอบที่ 2) ผู้ชนะจะเข้าแข่งต่อในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และนำไปสู่รอบรองชนะเลิศ นัดชิงอันดับที่สาม (แข่งจากผู้แพ้ในรอบรองชนะเลิศ) และนัดชิงชนะเลิศ[32]

เจ้าภาพ

ขั้นตอนการคัดเลือก

การคัดเลือกเจ้าภาพในครั้งแรก ๆ จัดขึ้นในการประชุมของสภาฟีฟ่า สถานที่การจัดการแข่งขันมักเกิดความขัดแย้งเนื่องจาก ทวีปอเมริกาใต้และยุโรป ไกลเกินกว่าจะเป็นศูนย์กลางของทีมที่แข็งแกร่งและต้องใช้เวลาในการเดินทางนาน 3 สัปดาห์ โดยเรือ การตัดสินใจเลือกประเทศอุรุกวัยเป็นประเทศเจ้าภาพครั้งแรกนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน มีทีมจากประเทศยุโรปเพียง 4 ทีมที่เข้าแข่งขัน[37] ส่วนเจ้าภาพในอีก 2 ครั้งถัดมาจัดขึ้นในยุโรป ในการจัดการแข่งขันที่ประเทศเจ้าภาพคือ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก็เกิดข้อขัดแย้งขึ้นมา เพราะจัดในฝั่งยุโรปเพื่อให้เข้าใจว่า สถานที่จัดนั้นจะสลับกันไปมาระหว่าง 2 ทวีป ซึ่งทั้งอาร์เจนตินาและอุรุกวัย คว่ำบาตรฟุตบอลโลก 1938[38]
ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1958 เป็นต้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรและข้อขัดแย้งในอนาคต ฟีฟ่าได้เริ่มรูปแบบที่ชัดเจน โดยเลือกประเทศเจ้าภาพสลับกัน 2 ทวีป ระหว่างทวีปอเมริกาและยุโรป ดำเนินมาถึงฟุตบอลโลก 1998 จนฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเจ้าภาพคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในทวีปเอเชีย และเป็นครั้งเดียวของการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยมีเจ้าภาพร่วมกัน[39] และในฟุตบอลโลก 2010 แอฟริกาใต้ ก็เป็นชาติแรกในทวีปแอฟริกาที่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ส่วนการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 จะจัดขึ้นที่ประเทศบราซิล เป็นเจ้าภาพครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978[40] และถือเป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกจัด 2 ครั้งติดต่อกัน นอกยุโรป

สมาพันธ์ฟุตบอลของฟีฟ่า
การคัดเลือกประเทศเจ้าภาพจะผ่านการลงคะแนนจากคณะผู้บริหารระดับสูงของฟีฟ่า โดยการทำบัตรลงคะแนนที่รัดกุม สมาคมฟุตบอลแห่งชาติของแต่ละประเทศที่ต้องการเสนอตนเป็นเจ้าภาพ จะได้รับหนังสือ "ข้อตกลงการเป็นประเทศเจ้าภาพ" จากฟีฟ่า ที่อธิบายถึงขั้นตอนและสิ่งที่ต้องการและคาดหวังจากการประมูล สมาคมที่ประมูลก็ได้รับแบบฟอร์ม เรื่องการยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ในการยืนยันอย่างเป็นทางการในการเป็นผู้เสนอตัวเป็นประเทศเจ้าภาพ หลังจากนั้นฟีฟ่าจะแต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบเดินทางไปประเทศที่เสนอตัว เพื่อตรวจสอบสิ่งที่ต้องการต่าง ๆ ในการจัดการแข่งขันและรายงานที่ประเทศนั้นอำนวยการสร้าง โดยการตัดสินใจคัดเลือกว่าประเทศใดเป็นประเทศเจ้าภาพนั้น โดยมากจะตัดสินใจล่วงหน้า 6-7 ปีก่อนปีที่จัด อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่มีการประกาศประเทศเจ้าภาพหลายเจ้าภาพในเวลาเดียวกัน เช่นในกรณี ฟุตบอลโลก 2018 และ 2022
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 และ 2014 เจ้าภาพที่เลือกจำกัดขึ้นเฉพาะประเทศที่เลือกจากเขตสมาพันธ์ (แอฟริกา ในฟุตบอลโลก 2010 และอเมริกาใต้ ในฟุตบอลโลก 2014) ที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ นโยบายการหมุนเวียนนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อพิพาท ที่เจ้าภาพเยอรมนีชนะการลงคะแนนเสียงเหนือแอฟริกาใต้ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 อย่างไรก็ตามนโยบายการหมุนเวียนทวีป จะไม่มีต่อไปหลังปี 2014 ดังนั้นไม่ว่าจะประเทศใด (ยกเว้นประเทศที่เป็นเจ้าภาพ 2 ครั้งก่อน) ก็สามารถเสนอตัวเป็นประเทศเจ้าภาพฟุตบอลโลกได้ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2018[41]

ผลการแข่งขันของเจ้าภาพ

ผู้ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลก 6 ทีม จาก 8 ทีมที่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศในการเป็นเจ้าภาพ ยกเว้นทีมบราซิล ที่แพ้ในนัดชิงชนะเลิศในนัดที่บ้านเกิดในปี ค.ศ. 1950 และสเปน ที่ได้ที่ 2 ในบ้านเกิดในปี ค.ศ. 1982 ส่วนอังกฤษ (ค.ศ. 1966) และฝรั่งเศส (ค.ศ. 1998) ได้รับตำแหน่งชนะเลิศเพียงครั้งเดียวในครั้งที่ประเทศของตนเป็นประเทศเจ้าภาพ ในขณะที่อุรุกวัย (ค.ศ. 1930), อิตาลี (ค.ศ. 1934) และอาร์เจนตินา (ค.ศ. 1978) ชนะครั้งแรกในการเป็นประเทศเจ้าภาพ แต่ในปีถัดมาก็ได้รับตำแหน่งชนะเลิศอีก ขณะที่เยอรมนี (ค.ศ. 1974) ชนะเลิศครั้งที่ 2 ในครั้งที่เป็นประเทศเจ้าภาพ
ส่วนชาติอื่นที่ประสบความสำเร็จในครั้งที่เป็นประเทศเจ้าภาพ เช่น สวีเดน (ที่ 2 ในปี ค.ศ. 1958), ชิลี (ที่ 3 ในปี ค.ศ. 1962), เกาหลีใต้ (ที่ 4 ในปี ค.ศ. 2002) และเม็กซิโก (รอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งในปี 1970 และ 1986) ทุกทีมที่เป็นเจ้าภาพ มีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการแข่งขัน เว้นแต่ แอฟริกาใต้ (ค.ศ. 2010) ที่เป็นประเทศเจ้าภาพประเทศเดียวที่ตกรอบตั้งแต่รอบแรก

การจัดการและสื่อครอบคลุม

ฟุตบอลโลกเผยแพร่ภาพทางโทรทัศน์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1954 และปัจจุบันถือเป็นรายการโทรทัศน์งานแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก มากกว่างานแข่งขันโอลิมปิกเสียอีก โดยมีผู้ชมรวมในทุกนัดการแข่งขันของฟุตบอลโลก 2006 มีราว 26.29 พันล้านคน[1] มีผู้ชม 715.1 ล้านคนเฉพาะในนัดตัดสิน (1 ใน 9 ของประชากรโลก) ส่วนในรอบคัดเลือกในรอบแบ่งกลุ่ม มีผู้ชม 300 ล้านคน[42]
การแข่งขันฟุตบอลโลกในแต่ละครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 เป็นต้นมาจะมีสิ่งนำโชค (มาสคอต) หรือโลโก้ประจำของการแข่งขัน ซึ่งสิ่งนำโชคตัวแรกของฟุตบอลโลกคือ วิลลี สำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966[43] ส่วนในการแข่งขันฟุตบอลครั้งล่าสุด (2010) มีการออกแบบลูกฟุตบอล เป็นพิเศษสำหรับการแข่งขัน

ผลการแข่งขัน

ปีเจ้าภาพชิงชนะเลิศฟีฟ่าเวิลด์คัปชิงอันดับ
ชนะเลิศผลการ
แข่งขัน
รองชนะเลิศอันดับ 3ผลการ
แข่งขัน
อันดับ 4
ฟุตบอลโลก 1930Flag of Uruguay.svg อุรุกวัยFlag of Uruguay.svg อุรุกวัย4 - 2Flag of Argentina.svg อาร์เจนตินาไม่มีที่ 3 [note 1]
Flag of the United States.svg สหรัฐอเมริกา และ Naval Ensign of the Kingdom of Yugoslavia.svg ยูโกสลาเวีย
ฟุตบอลโลก 1934Flag of Italy.svg อิตาลีFlag of Italy.svg อิตาลี2 - 1
ต่อเวลา
Flag of the Czech Republic.svg เช็กโกสโลวาเกียFlag of the German Empire.svg เยอรมนี3 - 2Flag of Austria.svg ออสเตรีย
ฟุตบอลโลก 1938Flag of France.svg ฝรั่งเศสFlag of Italy.svg อิตาลี4 - 2Flag of Hungary.svg ฮังการีFlag of Brazil.svg บราซิล4 - 2Flag of Sweden.svg สวีเดน
ค.ศ. 1942 และ ค.ศ. 1946 ไม่มีการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก เนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ฟุตบอลโลก 1950Flag of Brazil.svg บราซิลFlag of Uruguay.svg อุรุกวัย2 - 1[note 2]Flag of Brazil.svg บราซิลFlag of Sweden.svg สวีเดนไม่มี[note 2]Flag of Spain.svg สเปน
ฟุตบอลโลก 1954Flag of Switzerland.svg สวิตเซอร์แลนด์Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตก3 - 2Flag of Hungary.svg ฮังการีFlag of Austria.svg ออสเตรีย3 - 1Flag of Uruguay.svg อุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 1958Flag of Sweden.svg สวีเดนFlag of Brazil.svg บราซิล5 - 2Flag of Sweden.svg สวีเดนFlag of France.svg ฝรั่งเศส6 - 3Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตก
ฟุตบอลโลก 1962Flag of Chile.svg ชิลีFlag of Brazil.svg บราซิล3 - 1Flag of the Czech Republic.svg เช็กโกสโลวาเกียFlag of Chile.svg ชิลี1 - 0Flag of SFR Yugoslavia.svg ยูโกสลาเวีย
ฟุตบอลโลก 1966Flag of England.svg อังกฤษFlag of England.svg อังกฤษ4 - 2
ต่อเวลา
Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตกFlag of Portugal.svg โปรตุเกส2 - 1Flag of the Soviet Union.svg โซเวียต
ฟุตบอลโลก 1970Flag of Mexico.svg เม็กซิโกFlag of Brazil.svg บราซิล4 - 1Flag of Italy.svg อิตาลีFlag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตก1 - 0Flag of Uruguay.svg อุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 1974Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตกFlag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตก2 - 1Flag of the Netherlands.svg เนเธอร์แลนด์Flag of Poland.svg โปแลนด์2 - 1Flag of Brazil.svg บราซิล
ฟุตบอลโลก 1978Flag of Argentina.svg อาร์เจนตินาFlag of Argentina.svg อาร์เจนตินา3 - 1
ต่อเวลา
Flag of the Netherlands.svg เนเธอร์แลนด์Flag of Brazil.svg บราซิล2 - 1Flag of Italy.svg อิตาลี
ฟุตบอลโลก 1982Flag of Spain.svg สเปนFlag of Italy.svg อิตาลี3 - 1Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตกFlag of Poland.svg โปแลนด์3 - 2Flag of France.svg ฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 1986Flag of Mexico.svg เม็กซิโกFlag of Argentina.svg อาร์เจนตินา3 - 2Flag of Germany.svg เยอรมนีตะวันตกFlag of France.svg ฝรั่งเศส4 - 2
ต่อเวลา
Flag of Belgium.svg เบลเยียม
ฟุตบอลโลก 1990Flag of Italy.svg อิตาลีFlag of Germany.svgเยอรมนีตะวันตก1 - 0Flag of Argentina.svg อาร์เจนตินาFlag of Italy.svg อิตาลี2 - 1Flag of England.svg อังกฤษ
ฟุตบอลโลก 1994Flag of the United States.svg สหรัฐอเมริกาFlag of Brazil.svg บราซิล0 - 0
(3 - 2)
(ลูกโทษ)
Flag of Italy.svg อิตาลีFlag of Sweden.svg สวีเดน4 - 0Flag of Bulgaria.svg บัลแกเรีย
ฟุตบอลโลก 1998Flag of France.svg ฝรั่งเศสFlag of France.svg ฝรั่งเศส3 - 0Flag of Brazil.svg บราซิลFlag of Croatia.svg โครเอเชีย2 - 1Flag of the Netherlands.svg เนเธอร์แลนด์
ฟุตบอลโลก 2002Flag of South Korea.svg เกาหลีใต้
และ Flag of Japan.svg ญี่ปุ่น
Flag of Brazil.svg บราซิล2 - 0Flag of Germany.svg เยอรมนีFlag of Turkey.svg ตุรกี3 - 2Flag of South Korea.svg เกาหลีใต้
ฟุตบอลโลก 2006Flag of Germany.svg เยอรมนีFlag of Italy.svg อิตาลี1 - 1
(5 - 3)
(ลูกโทษ)
Flag of France.svg ฝรั่งเศสFlag of Germany.svg เยอรมนี3 - 1Flag of Portugal.svg โปรตุเกส
ฟุตบอลโลก 2010Flag of South Africa.svg แอฟริกาใต้Flag of Spain.svg สเปน1-0
ต่อเวลา
Flag of the Netherlands.svg เนเธอร์แลนด์Flag of Germany.svg เยอรมนี3 - 2Flag of Uruguay.svg อุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 2014Flag of Brazil.svg บราซิล
ฟุตบอลโลก 2018Flag of Russia.svg รัสเซีย
ฟุตบอลโลก 2022Flag of Qatar.svg กาตาร์
หมายเหตุ
  1. Jump up ไม่มีประกาศที่ 3 อย่างเป็นทางการในนัดปี ค.ศ. 1930 โดยทีมสหรัฐอเมริกาและทีมยูโกสลาเวียแพ้ในรอบรองชนะเลิศ แต่ต่อมาฟีฟ่าได้ให้ทีมสหรัฐอเมริกาได้ที่ 3 ส่วนทีมยูโกสลาเวียได้ที่ 4 โดยใช้กติกา ดูผลของทีมตลอดทั้งการแข่งขัน[44]
  2. ↑ Jump up to:2.0 2.1 ไม่มีนัดชิงชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1950[45] เพราะการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศใช้แบบ 4 ทีม แต่ชัยชนะของอุรุกวัยต่อบราซิล 2-1 เป็นการตัดสินเพราะแต้มเพียงพอต่อการเป็นแชมป์ อันดับในรอบชิงชนะเลิศ: (1) อุรุกวัย (2) บราซิล (3) สวีเดน (4) สเปน[46] ซึ่งบังเอิญว่า 1 ใน 2 นัดสุดท้ายของการแข่งขัน ทีม 2 อันดับแรกแข่งขันด้วยกัน ซึ่งอุรุกวัยชนะบราซิล จึงถือว่าเป็นผลการตัดสินรอบสุดท้ายไปโดยปริยายของฟุตบอลโลก 1950[47]ขณะที่ทีมที่คะแนนน้อยที่สุด ที่เล่นในเวลาเดียวกับที่อุรุกวัยเจอกับบราซิล ก็ถือว่าเป็นนัดชิงอันดับ 3 ซึ่งสวีเดนชนะสเปนไป 3-1
ในการแข่งขันทั้งหมด ใน 76 ชาติ ที่เข้าร่วมแข่งฟุตบอลโลกอย่างน้อย 1 ครั้งนั้น[48] โดยมี 8 ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งพวกเขาจะได้ติดดาวประดับอยู่บนเสื้อ ตามจำนวนครั้งที่ชนะเลิศฟุตบอลโลก (อย่างไรก็ตาม อุรุกวัยถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับกฎนี้ ทีมอุรุกวัยเลือกที่จะเลือกดาว 4 ดวงประดับบนเสื้อ แสดงถึงการได้เหรียญทอง 2 เหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อน 1924 และ 1928 และชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ครั้งในปี 1930 และ 1950)
บราซิลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดกับชัยชนะ 5 ครั้งในฟุตบอลโลก และเป็นชาติเดียวที่ได้แข่งฟุตบอลโลกทุกครั้ง (19 ครั้ง) นับถึงปัจจุบัน[49] และพวกเขาก็จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 20 ในปี ค.ศ. 2014 และทีมที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ครั้งติดต่อกันคือ ทีมอิตาลี (1934 และ 1938) และทีมบราซิล (1958 และ 1962) ส่วนทีมที่เข้าสู่นัดตัดสินติดต่อกัน 3 ครั้งได้แก่ทีมเยอรมนี (1982–1990) และทีมบราซิล (1994–2002) นอกจากนั้นทีมเยอรมนียังเป็นทีมที่ติดในรอบ 4 ทีมสุดท้ายมากที่สุด ถึง 12 ครั้ง ขณะที่ติด 2 ทีมสุดท้ายมากที่สุดเทียบเท่ากับทีมบราซิล ที่ 7 ครั้ง

ผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลก


แผนที่ของประเทศที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก

ทีมที่ติด 4 อันดับแรก


ทีมชนะเลิศรองชนะเลิศที่ 3ที่ 4จำนวนครั้งที่ติดใน 4 อันดับแรก
ธงชาติบราซิล บราซิล5 (19581962197019942002)2 (1950*1998)2 (19381978)1 (1974)10
ธงชาติอิตาลี อิตาลี4 (1934*193819822006)2 (19701994)1 (1990*)1 (1978)8
ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี^3 (19541974*1990)4 (1966198219862002)4 (193419702006*2010)1 (1958)12
ธงชาติอาร์เจนตินา อาร์เจนตินา2 (1978*1986)2 (19301990)4
ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย2 (1930*1950)3 (195419702010)5
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส1 (1998*)1 (2006)2 (19581986)1 (1982)5
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ1 (1966*)1 (1990)2
ธงชาติสเปน สเปน1 (2010)1 (1950)2
Flag of the Netherlands เนเธอร์แลนด์3 (197419782010)1 (1998)4
ธงชาติเชโกสโลวาเกีย เชโกสโลวาเกีย#2 (19341962)2
ธงชาติฮังการี ฮังการี2 (19381954)2
ธงชาติสวีเดน สวีเดน1 (1958*)2 (19501994)1 (1938)4
ธงชาติโปแลนด์ โปแลนด์2 (19741982)2
ธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย1 (1954)1 (1934)2
ธงชาติโปรตุเกส โปรตุเกส1 (1966)1 (2006)2
สหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกา1 (1930)1
ธงชาติชิลี ชิลี1 (1962*)1
ธงชาติโครเอเชีย โครเอเชีย1 (1998)1
ธงชาติตุรกี ตุรกี1 (2002)1
ธงชาติยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวีย#2 (19301962)2
สหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียต#1 (1966)1
ธงชาติเบลเยียม เบลเยียม1 (1986)1
ธงชาติบัลแกเรีย บัลแกเรีย1 (1994)1
ธงชาติเกาหลีใต้ เกาหลีใต้1 (2002*)1
* = เป็นเจ้าภาพ
^ = รวมกับทีมเยอรมนีตะวันตกระหว่างปี ค.ศ. 1954 ถึง 1990
# = ทีมที่มีการแยกประเทศออกภายหลัง[48]

ผลงานที่ดีที่สุดในแต่ละทวีป

ถึงวันนี้ ในรอบตัดสินของฟุตบอลโลกล้วนแต่มีแต่ทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ ทีมจากยุโรปชนะ 10 ครั้ง ทีมจากอเมริกาใต้ชนะ 9 ครั้ง มีเพียง 2 ทีมนอกเหนือจากทวีปทั้ง 2 นี้ที่เข้าสู่รอบรองชนะเลิศ คือทีมสหรัฐอเมริกา (ในเขตอเมริกาเหนือ อเมริกากลางและแคริบเบียน) ในปี ค.ศ. 1930 และทีมเกาหลีใต้ (เขตเอเชีย) ที่เข้ารอบรองชนะเลิศในปี ค.ศ. 2002 ส่วนผลที่ดีที่สุดของทีมจากแอฟริกาคือเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ได้แก่ ทีมแคเมอรูน ในปี ค.ศ. 1990 ทีมเซเนกัล ในปี ค.ศ. 2002 และทีมกานา ในปี ค.ศ. 2010 และทีมจากเขตโอเชียเนีย ที่ผ่านเข้ารอบคือ ทีมออสเตรเลีย ในปี ค.ศ. 2006 เข้าสู่รอบ 2 ได้[50]
ทีมบราซิล อาร์เจนตินา และสเปน เป็นทีมที่สามารถชนะฟุตบอลโลกนอกทวีปของตัวเองได้ บราซิลได้รับชัยชนะในยุโรป (ค.ศ. 1958) อเมริกาเหนือ (ค.ศ. 1970 และ 1994) และในเอเชีย (ค.ศ. 2002) ส่วนทีมอาร์เจนตินาชนะฟุตบอลโลกในอเมริกาเหนือในปี ค.ศ. 1986 ขณะที่ทีมจากสเปนชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกในแอฟริกาในปี ค.ศ. 2010 นอกเหนือจากนั้นแล้ว มี 3 ครั้งที่ทีมชนะติดต่อกันในฟุตบอลโลกจากทีมในทวีปเดียวกัน คือ อิตาลีและบราซิลป้องกันแชมป์ได้ในปี ค.ศ. 1938 และ 1962 ตามลำดับ ขณะที่ทีมจากสเปนชนะการแข่งขันในฟุตบอลโลก 2010 ถัดจากทีมอิตาลี ในปี ค.ศ. 2006

รางวัลฟุตบอลโลก

ดูบทความหลักที่: รางวัลฟุตบอลโลก
เมื่อจบการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี จะมีการจัดรางวัลให้กับทีมและผู้เล่นในด้านต่าง ๆ ในปัจจุบันมี 6 รางวัล[51]
  • รางวัลบอลทองคำ สำหรับผู้เล่นยอดเยี่ยม พิจารณาจากการลงคะแนนของสมาชิกสื่อมวลชน (เริ่มมีการมอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982) และรางวัลบอลเงินและบอลทองแดง ให้กับผู้เล่นยอดเยี่ยมอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ[52]
  • รางวัลรองเท้าทองคำ สำหรับผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี (เริ่มมีการมอบรางวัลครั้งแรกในปี ค.ศ. 1982 แต่ก็มีผลย้อนหลังในทุกการแข่งขันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930) ส่วนรางวัลรองเท้าเงิน และรองเท้าทองแดง มอบให้กับผู้ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอันดับ 2 และอันดับ 3 ตามลำดับ[53]
  • รางวัลถุงมือทองคำ (แต่เดิมใช้ชื่อรางวัลยาชิน) มอบให้กับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม ตัดสินโดยกลุ่มศึกษาด้านเทคนิคฟีฟ่า (เริ่มมีการมอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994)[54]
  • รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม สำหรับดาวรุ่งยอดเยี่ยม ที่อายุไม่เกิน 21 ปี นับจากปีเกิด ตัดสินโดยกลุ่มศึกษาด้านเทคนิคฟีฟ่า (เริ่มมีการมอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 2006)[55]
  • รางวัลทีมที่เล่นขาวสะอาด สำหรับทีมเล่นที่มีสถิติการเล่นขาวสะอาดที่สุด นับจากระบบการให้คะแนนและเกณฑ์ของคณะกรรมการการเล่นอย่างขาวสะอาดของฟีฟ่า (FIFA Fair Play Committee) (เริ่มมีการมอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1978)[55]
  • รางวัลทีมที่น่าสนใจ หรือทีมที่เล่นได้สนุกที่สุด สำหรับทีมที่ให้ความบันเทิงกับผู้ชมมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลก ตัดสินจากแบบสำรวจจากผู้ชม (เริ่มมีการมอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994)[55]
ทีมรวมดารา เป็นทีมที่รวบรวมรายชื่อนักฟุตบอลยอดเยี่ยม 23 คนจากนักฟุตบอลทั้งหมด ของการแข่งขันแต่ละครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998

สถิติ

มีนักฟุตบอล 2 คนที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกสูงสุดคือ อันโตเนียว การ์บาคัล จากเม็กซิโก (1950–1966) และ โลทาร์ มัทเทอูส (1982–1998) ทั้งคู่เข้าร่วมการแข่งขันในฟุตบอลโลก 5 ครั้ง[56] โดยมัทเทอูสเป็นผู้เล่นลงสนามในฟุตบอลโลกสูงสุดคือ 25 นัด[57] ขณะที่เปเล่จากบราซิลเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ได้รับเหรียญจากฟุตบอลโลก 3 ครั้ง (1958, 1962, และ 1970)[58] ส่วนผู้เล่นคนอื่นอีก 20 คนได้รับเหรียญจากการชนะเลิศ 2 ครั้ง[59] ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์จากเยอรมนี (1966–1974) เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ได้ลงแข่งในทีมรวมดารา ถึง 3 ครั้ง และยังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ได้รับเหรียญทั้ง 3 แบบ คือเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง
ผู้เล่นทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก คือ โรนัลโด้ จากบราซิล ทำประตูได้ 15 ประตู (1998–2006) รองลงมาคือ มิโรสลาฟ โคลเซ (2002–2010) และเกิร์ด มึลเลอร์ จากเยอรมนีตะวันตก (1970–1974) ทำประตูได้ 14 ประตู[60] ผู้เล่นทำประตูได้เป็นอันดับ 4 คือ ชุสต์ ฟงแตน จากฝรั่งเศส และยังถือสถิติทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลก 1 ครั้ง คือ 13 ประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1958[61]
มาริโอ ซากัลโล จากบราซิล และ ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ จากเยอรมนีตะวันตก เป็นผู้เดียวจนถึงวันนี้ที่ชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกในฐานะผู้เล่นและหัวหน้าโค้ช ซากัลโลชนะในฐานะผู้เล่นในปี ค.ศ. 1958 และ 1962 และในฐานะหัวหน้าโค้ชในปี ค.ศ. 1970[62] เบคเคนเบาเออร์ชนะในฐานะผู้เล่นในตำแหน่งกัปตันทีมในปี ค.ศ. 1974 และในฐานะหัวหน้าโค้ชในปี ค.ศ. 1990[63] และวิตโตริโอ ปอซโซ เป็นโค้ชคนเดียวที่ทำให้ทีมชนะการแข่งขันฟุตบอลโลกได้ 2 ครั้ง (1934 และ 1938)[64] และหัวหน้าโค้ชในฟุตบอลโลกทุกครั้งล้วนแต่เป็นคนจากประเทศนั้นที่นำชัยชนะมาได้
ในบรรดาทีมชาติทั้งหมด ทีมเยอรมนีเป็นทีมที่มีจำนวนนัดในการลงแข่งขันมากที่สุด คือ 99 นัด[65] ขณะที่บราซิลทำประตูในฟุตบอลโลกมากที่สุดคือ 210 ประตู[66] ในขณะที่ทั้ง 2 ทีมนี้เคยแข่งขันกันในฟุตบอลโลกเพียงครั้งเดียว คือในฟุตบอลโลก 2002 นัดตัดสิน

รางวัลฟุตบอลโลก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความหลักดูที่ ฟุตบอลโลก
เมื่อจบการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี จะมีการจัดรางวัลให้กับทีมและผู้เล่นในด้านต่าง ๆ
ในปัจจุบันมีอยู่ 6 รางวัล
  • รองเท้าทองคำ (Golden Shoe) รางวัลสำหรับผู้ทำประตูรวมสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ชื่อเดิมว่า บูตทองคำ (Golden Boot) เริ่มมีตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1930 และตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1982 ได้มีอาดิดาสเป็นผู้สนับสนุน และใช้ชื่อรางวัลว่า "รองเท้าทองคำอาดิดาส"
  • บอลทองคำ (Golden Ball) หรือ "บอลทองคำอาดิดาส" รางวัลสำหรับผู้เล่นยอดเยี่ยม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อฟุตบอลโลก 1982
  • รางวัลยาชิน (Yashin Award) รางวัลสำหรับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อฟุตบอลโลก 1994
  • รางวัลทีมที่เล่นขาวสะอาด (FIFA Fair Play Award) รางวัลสำหรับทีมที่เล่นได้อย่างยุติธรรม เริ่มมีครั้งแรกเมื่อฟุตบอลโลก 1978
  • รางวัลทีมที่น่าสนใจ (Most Entertaining Team) รางวัลสำหรับทีมที่เล่นได้น่าสนใจต่อประชาชน คัดเลือกจากโพลเริ่มมีครั้งแรกเมื่อฟุตบอลโลก 1994
  • รางวัลเยาวชนยอดเยี่ยม (Best Young Player) ปัจจุบันชื่อโฆษณาว่ายิลเลต เป็นรางวัลสำหรับนักฟุตบอลอายุต่ำกว่า 21 ปีที่มีความสามารถโดดเด่น เริ่มมีครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2006

รองเท้าทองคำ[แก้]

รางวัลสำหรับผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี
ฟุตบอลโลกนักฟุตบอลประตู
ฟุตบอลโลก 1930Flag of Argentina (alternative).svg กีเยร์โม สตาบีเล8
ฟุตบอลโลก 1934สาธารณรัฐเช็ก ออลดริค เนเยดลี5
ฟุตบอลโลก 1938บราซิล เลโอนีดัส ดา ซิลวา8
ฟุตบอลโลก 1950บราซิล อาเดมีร์9
ฟุตบอลโลก 1954Flag of Hungary (1949-1956).svg ซานโดร์ โคชิช11
ฟุตบอลโลก 1958ฝรั่งเศส ชุสต์ ฟงแตน13
ฟุตบอลโลก 1962บราซิล การ์ริงชา
บราซิล วาวา
ชิลี เลโอเนล ซานเชซ
ยูโกสลาเวีย ดราชาน เยร์คอวิช
สหภาพโซเวียต วาเลนติน อีวานอฟ
ฮังการี โฟลรีอาน ออลเบร์ต
5
ฟุตบอลโลก 1966โปรตุเกส เอวเซบีอู9
ฟุตบอลโลก 1970เยอรมนี แกร์ด มึลเลอร์10
ฟุตบอลโลก 1974โปแลนด์ กเจกอช ลาตอ7
ฟุตบอลโลก 1978Flag of Argentina (alternative).svg มารีโอ เกมเปส6
ฟุตบอลโลก 1982อิตาลี เปาโล รอสซี6
ฟุตบอลโลก 1986อังกฤษ แกรี ลินิเกอร์6
ฟุตบอลโลก 1990อิตาลี ซัลวาโตเร สกิลลาชี6
ฟุตบอลโลก 1994บัลแกเรีย คริสตอ สตออิชคอฟ
รัสเซีย โอเลก ซาเลนโค
6
ฟุตบอลโลก 1998โครเอเชีย ดาวอร์ ชูเคร์6
ฟุตบอลโลก 2002บราซิล โรนัลโด8
ฟุตบอลโลก 2006เยอรมนี มิโรสลาฟ โคลเซ5
ฟุตบอลโลก 2010เยอรมนี โทมัส มึลเลอร์5

บอลทองคำ[แก้]

รางวัลบอลทองคำ สำหรับผู้เล่นที่โดดเด่น
ฟุตบอลโลกบอลทองคำบอลเงินบอลทองแดง
ฟุตบอลโลก 1982อิตาลี เปาโล รอสซีบราซิล ฟัลเกาเยอรมนี คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอ
ฟุตบอลโลก 1986อาร์เจนตินา เดียโก มาราโดนาเยอรมนี ฮารัลด์ ชูมาเคอร์เดนมาร์ก เพรเบน เอลค์แยร์ ลาร์เซน
ฟุตบอลโลก 1990อิตาลี ซัลวาโตเร สกิลลาชีเยอรมนี โลทาร์ มัทเทอุสอาร์เจนตินา เดียโก มาราโดนา
ฟุตบอลโลก 1994บราซิล โรมารีอูอิตาลี โรแบร์โต บัจโจบัลแกเรีย คริสตอ สตออิชคอฟ
ฟุตบอลโลก 1998บราซิล โรนัลโดโครเอเชีย ดาวอร์ ชูเคร์ฝรั่งเศส ลีลียอง ตูราม
ฟุตบอลโลก 2002เยอรมนี โอลีเวอร์ คาห์นบราซิล โรนัลโดเกาหลีใต้ ฮอง เมียง-โบ
ฟุตบอลโลก 2006ฝรั่งเศส ซีเนดีน ซีดานอิตาลี ฟาบิโอ คันนาวาโรอิตาลี อันเดรอา ปีร์โล
ฟุตบอลโลก 2010อุรุกวัย เดียโก ฟอร์ลันเนเธอร์แลนด์ เวสลีย์ ชไนเดอร์สเปน ดาบิด บียา

รางวัลยาชินและรางวัลถุงมือทองคำ[แก้]

รางวัลยาชิน (Yashin Award) สำหรับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้รักษาประตูชาวรัสเซีย เลฟ ยาชิน เริ่มมีครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1994
ฟุตบอลโลกนักฟุตบอล
ฟุตบอลโลก 1994เบลเยียม มีแชล เปรอดอม
ฟุตบอลโลก 1998ฝรั่งเศส ฟาเบียง บาร์เตซ
ฟุตบอลโลก 2002เยอรมนี โอลีเวอร์ คาห์น
ฟุตบอลโลก 2006อิตาลี จันลุยจี บุฟฟอน

รางวัลถุงมือทองคำ[แก้]

ในปี 2010 เปลี่ยนชื่อจากรางวัลยาชินเป็นรางวัลถุงมือทองคำ
ฟุตบอลโลกนักฟุตบอล
ฟุตบอลโลก 2010สเปน อีเกร์ กาซียัส

รางวัลทีมที่เล่นขาวสะอาด[แก้]

ฟุตบอลโลกทีมชาติ
ฟุตบอลโลก 1974โปรตุเกส ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส
ฟุตบอลโลก 1978อาร์เจนตินา ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา
ฟุตบอลโลก 1982บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1986บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1990อังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
ฟุตบอลโลก 1994บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1998อังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
ฝรั่งเศส ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 2002เบลเยียม ฟุตบอลทีมชาติเบลเยียม
ฟุตบอลโลก 2006บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
สเปน ฟุตบอลทีมชาติสเปน
ฟุตบอลโลก 2010สเปน ฟุตบอลทีมชาติสเปน

ทีมน่าสนใจ[แก้]

ทีมที่ได้เล่นตื่นเต้น น่าจับตามองในฟุตบอลโลก
ฟุตบอลโลกทีมชาติ
ฟุตบอลโลก 1994บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1998ฝรั่งเศส ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 2002เกาหลีใต้ ฟุตบอลทีมชาติเกาหลีใต้
ฟุตบอลโลก 2006โปรตุเกส ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส
ฟุตบอลโลก 2010เยอรมนี ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี

รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม[แก้]

รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม (ในปัจจุบันใช้ชื่อว่า "รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมยิลเลต" โดยยิลเลตเป็นผู้สนับสนุนหลัก) เป็นรางวัลสำหรับนักฟุตบอลที่อายุไม่เกิน 21 ปี ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก เริ่มมีครั้งแรกในฟุตบอลโลก 2006
ฟุตบอลโลกรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม
ฟุตบอลโลก 2006เยอรมนี ลูคัส โพดอลสกี
ฟุตบอลโลก 2010เยอรมนี โทมัส มึลเลอร์

ทีมรวมดารา[แก้]

ทีมรวมดารา (All-Star Team) หรือทีมรวมดารามาสเตอร์การ์ด (Mastercard All-Star Team) เป็นทีมที่รวบรวมรายชื่อนักฟุตบอลยอดเยี่ยม 23 คนจากนักฟุตบอลทั้งหมด ก่อนหน้าฟุตบอลโลก 2006 ทีมออลสตาร์ประกอบด้วยนักฟุตบอล 16 คน
ฟุตบอลโลกผู้รักษาประตูกองหลังกองกลางกองหน้า
ฟุตบอลโลก 1998
ฟุตบอลโลก 1998
ฟุตบอลโลก 2002
ฟุตบอลโลก 2002
ฟุตบอลโลก 2006
ฟุตบอลโลก 2006
ฟุตบอลโลก 2010
ฟุตบอลโลก 2010

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เครดิตข้อมูลจาก วิกิพีเดียครับ

Wikipedia

ผลการค้นหา